Connect with us

Politics

ลุกเดินปร๋อ โชว์พาวว์อวดอำนาจแฝง! เชื้อชั่วสองมาตรฐานไม่ติดคุก ลวงหลอกป่วยหนัก

Published

on

“จตุพร”ชำแหละต้นเหตุเชื้อชั่วสองมาตรฐานไม่ติดคุก ลวงหลอกป่วยหนัก อ้างวิกฤตพักชั้น 14 สบโอกาสพักโทษลุกเดินปร๋อ โชว์พาวว์อวดอำนาจแฝง

ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์โดยกระตุ้นให้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ เร่งรีบหาทางแก้ปัญหาสองมาตรฐานในกระบวนการยุติธรรม ตามคำสัญญาเมื่อครั้งหาเสียงปี 2566 อีกอย่างการพูดเพียงเสียใจในกรณีของบุ้ง-น.ส.เนติพร เสนห์สังคม ที่อดอาหารจนเสียชีวิตในเรือนจำเมื่อ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา ไม่ได้สะท้อนถึงสำนึกจะแก้ปัญหาใดๆ

“ถึงขณะนี้นายกฯ ยังไม่มีแนวทางจะแก้ไขปัญหา เพื่อยับยั้งสถานการณ์อันอาจจะเกิดขึ้นอีก การพูดแต่เสียใจในกรณีของบุ้ง เป็นคำพูดง่ายเกินไปของนักการเมืองเห็นแก่ตัว ดังนั้น จึงหวังว่า คนมีหน้าที่จะได้มีสำนึกในการแก้ไขปัญหาบ้าง”

อีกทั้งกล่าวว่า ถ้านายกฯ มีวุฒิภาวะผู้นำ เมื่อรู้ตัวเองพูดหาเสียงไว้เกี่ยวกับสิทธิ์ประกันตัวและคดี ม.112 แล้ว ควรนัดพูดคุยกับประมุข 3 ฝ่ายเพื่อหาแนวทางปฏิบัติกับผู้ถูกกล่าวหาในคดี ม.112 โดยเชื่อว่า ผู้นำฝ่ายบริหาร ตุลาการและนิติบัญญัติจะสามารถหาทางออกของแต่ละส่วนงานได้

อย่างไรก็ตาม หลังจากประมุข 3 ฝ่ายคุยกันได้ทางออกเป็นหลักการสำคัญแล้ว จึงแจ้งให้กระบวนการยุติธรรม ทั้งตำรวจ อัยการ ราชทัณฑ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะเป็นหนทางที่ดีที่สุดและได้มาตรฐานเดียวกันทั้งระบบ

“แต่นายกฯ ในฐานะประมุขฝ่ายบริหารกลับไม่ทำอะไรเลยหลังจากเลือกตั้งและได้เป็นรัฐบาล ดังนั้น ที่เคยพูดไว้เป็นเพียงการหาเสียง เมื่อจบเลือกตั้งแล้วก็จบกันไป จนมาเกิดเหตุการณ์กับบุ้ง นายกฯ จึงได้แสดงความเสียใจเท่านั้น”

นายจตุพร กล่าวว่า เหตุการณ์กรณีของบุ้ง ในที่สุดย่อมถูกนำมาเทียบเคียงการปฏิบัติหน้าที่ของราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม และรัฐบาลที่ปฎิบัติต่อทักษิณ ชินวัตร เพราะทั้งสองคนคือบุ้งกับทักษิณ มีความแตกต่างกัน โดยทักษิณเป็นนักโทษเด็ดขาดถูกตัดสินจำคุกในคดีทุจริตและยังเคยหนีคดีไปนานนับสิบปี จนมีดีลได้กลับไทยเมื่อ 22 ส.ค. 2566

“ส่วนบุ้งไม่ได้เป็นนักโทษหญิง แต่มีสถานะเพียงผู้ต้องหาและผู้ถูกคุมขังหญิง (ไว้ในคุก) เพื่อรอการต่อสู้คดีในชั้นศาล ยังไม่มีคดีใดที่ถูกพิพากษาด้วยซ้ำ ดังนั้น (ราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม และรัฐบาล) ปฏิบัติกับสองคนนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง”

พร้อมกล่าวว่า ถ้าราชทัณฑ์ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ปฏิบัติกับบุ้ง ซึ่งมีความผิดน้อยกว่า และคดีที่ถูกกล่าวหาศาลยังไม่ได้ตัดสิน จึงอยู่ในสถานะผู้บริสุทธิ์ ดังนั้น การปฏิบัติกับนักโทษเด็ดขาดอย่างทักษิณกับผู้ต้องขังที่มีสถานะผู้บริสุทธิ์อยู่ ย่อมเห็นได้ชัดว่า เลือกปฏิบัติหรือเป็นสองมาตรฐาน

“คนหนึ่งเป็นนักโทษเด็ดขาด (ทักษิณ) ถูกปฏิบัติด้วยการคาดการณ์อาการป่วยวิกฤตว่า “น่าจะ หรือว่าจะ” (ป่วยเป็นโรควิกฤต รุนแรงถึงชีวิต) แล้วส่งไปอยู่ รพ.ตำรวจ ส่วนอีกคนหนึ่งอดอาหารมานาน ร่างกายถูกกระทบกระเทือนได้ตลอดเวลา อีกอย่าง รพ.ราชทัณฑ์ใช้ดุลพินิจอะไรกับเวลาตั้งแต่ 6 โมงเช้าไปถึง 9 โมงเช้า ถ้าการรักษาเกินศักยภาพของ รพ.ราชทัณฑ์ต้องตัดสินใจตั้งแต่ 6 โมงเช้าเศษแล้ว ไม่น่าใช้เวลานานกว่า 3 ชั่วโมงจึงตัดสินใจ จึงเป็นปัญหา เป็นข้อสงสัย แล้วตอบไม่ได้”

นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อมีการเลือกปฏิบัติอย่างสองมาตรฐานกับคนเท่ากันและใช้กฎหมายเดียวกัน แต่แตกต่างกันคนละมาตราเท่านั้น ทั้งที่อัยการสั่งฟ้องแล้ว ยังเบี่ยงเบนอีกว่า ต้องไต่สวนเพิ่ม แล้วให้ประกันตัวทั้งที่คดี ม.112 เหมือนกัน แบบนี้เรียกว่า ไม่มีมาตรฐาน ไม่ใช่สองมาตรฐาน เมื่อเป็นแบบนี้ การเรียกร้องของบุ้งผิดตรงไหน

“คดีของทักษิณไม่ต้องถูกขังคุก ได้ไปอยู่ รพ.ตำรวจ กล้องวงจรปิดเสีย อ้างป่วยทุพพลภาพ ช่วยตัวเองไม่ได้ หลังจากนั้นออกจาก รพ.ไม่กี่วันก็เดินปร๋อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อีกอย่างอยู่ระหว่างการพักโทษยังไปทำเรื่องเสียหายสารพัด ส่วนบุ้งไม่เคยหลบหนีคดี นัดหมายก็ไป ขังก็ไป ถ้าบุ้งได้รับปฏิบัติอย่างเดียวกับทักษิณคงไม่เป็นอย่างนี้แน่และชีวิตคงไม่ต้องสูญเสียไป”

อีกทั้งกล่าวว่า หลักคิดในการให้ความสำคัญกับคนที่ไม่เสมอภาคกันเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อคนหนึ่งดูแลยิ่งกว่าไข่ในหิน อีกคนปฏิบัติเหมือนรำคาญ ดังนั้นถ้าเป็นปุถุชนเสมือนกัน การปฏิบัติย่อมต้องมีมาตรฐานเดียวกัน แต่ในระบบสังคมแบบเจ้าขุน มูลนาย คนมีสถานะ มียศศักดิ์จะได้รับการดูแลไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม และยิ่งมีอำนาจแฝงพิเศษยิ่งได้รับการปฏิบัติอีกอย่างหนึ่งจึงเป็นการสร้างบาดแผลร้าวลึกถึงความอยุติธรรมและการเลือกปฏิบัติขึ้นไปอีก

นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อคนหนึ่งเป็นคนธรรมดา แต่อีกคนเป็นอดีตนายกฯ เป็นจิตวิญญาณของพรรคการเมืองใหญ่ จึงปฏิบัติแตกต่างกัน หากการปฏิบัติมีการเอาใจใส่เสมอเหมือนกันแล้ว เหตุการณ์กรณีบุ้งคงไม่เกิดขึ้นอีก ดังนั้นแต่ละฝ่ายควรคิดอ่านกันหาทางแก้ปัญหามากกว่าการคิดแบบชั่วครู่ชั่วยามและพูดเพียงเสียใจ

“เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ได้สะท้อนถึงสองมาตรฐานในการดูแลผู้ต้องขังและสถานะที่ต่างกันกับผู้เป็นนักโทษ เพียงแต่ชีวิตคนมีที่มาแตกต่างกัน จึงมีการเลือกปฏิบัติและเป็นสองมาตรฐานจนนำไปสู่ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน คนหนึ่งเป็นอภิสิทธิ์ชน อีกคนได้รับชะตากรรมคือเสียชีวิต ส่วนเชื่อชั่วสองมาตรฐานไม่เคยตาย”

ประเทศไทยต้องมาก่อน

#เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS

Continue Reading
Advertisement ad-02-doosoft.jpg
Advertisement QK6ZtN.png

Copyright © 2022 TOJO.NEWS

%d bloggers like this: