ทนายนกเขา ชี้เลือกตั้งไม่มีอนาคต เปลี่ยน ปชต.ปลอม จัดการกลุ่มทุน-นักการเมืองเอาประโยชน์ไม่ได้ ลั่นคนทุกข์ยาก แบกหนี้วิกฤตท่วมท้น ถึงเวลาลุกขึ้นเป็นหนึ่งวัดกันไปเลย
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า เมื่อ 26 ก.พ. 2566 นายนิติธร ล้ำเหลือ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “วัดกันไปเลย” โดยระบุว่า วิกฤตรุกล้อมกรอบไทยหนักขึ้นทุกขณะ ความขัดแย้งของโลก สหรัฐกำลังจุดชนวนขึงพืดลากดึงไทยเข้าพัวพัน พร้อมเสนอว่า ถึงเวลาประชาชนต้องลุกขึ้นมาวัดใจกันเอง พร้อมปกป้องสถาบันและประเทศที่กำลังถูกผลกระทบหรือยัง หากรอเลือกตั้งจะถึงคาล่มสลาย ส่วนกลุ่มทุน นักการเมืองไม่เดือดร้อนกับประชาชนด้วย
นายนิติธร หรือทนายนกเขา เสนอว่า พรรคเพื่อไทยต้องกล้าเติบโตอย่างดีงาม บนฐานประชาธิปไตยแท้จริง และควรให้ประเทศพ้นจากวงจรอุบาทว์การทุจริต หรือต้องไม่ทำลายกระบวนการยุติธรรมกับการนำทักษิณ ชินวัตร กลับบ้าน และสิ่งสำคัญต้องชัดเจนจะจับมือกับใครและพรรคการเมืองใดด้วย
อีกทั้ง เห็นว่า อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร เมื่อเป็นคนหน้าเหมือนทักษิณ แต่เป็นลูกสาวที่ไร้เดียงสาทางการเมือง ประชาชนฟังคำพูดแล้วจะนำมาคิดหักล้างอะไรย่อมไม่ได้ เพราะไม่น่าเชื่อถือ หากคล้อยตามจะทำให้ไปไม่ถึงสิ่งต้องการทางการเมืองและประชาธิปไตยของประเทศ
กรณีพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่ประกาศแนวทางการเมืองอย่างแคบที่ว่า ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ นายนิติธร กล่าวว่า เป็นการมุ่งหวังแค่ฐานเสียงของตนเท่านั้น เพราะขยับไปฐานอื่นไม่ได้ ดังนั้นสื่อมวลชนบางช่องถ่ายทอด เชียร์ไม่ลืมหูลืมตา เป็นการผูกติดกับตัวบุคคล ตลอดจนเป็นพวกต้องการอำนาจการเมืองแฝง และยังเกาะติดกับการเมืองแบบพรรคนี้ที่อ้างสถาบันเปลืองมากที่สุด
“สองพรรคนี้ ทั้งเพื่อไทยกับ รทสช. หาเสียงแยกประชาชนออกเป็นสองฝ่ายชัดเจน แล้วนำไปสู่การวัดกัน ซึ่งจะเสียหายต่อประเทศ โดยหมายถึงหากเพื่อไทยชนะได้ตั้งรัฐบาล ก็จะสะท้อนความพ่ายแพ้ของสถาบันกษัตริย์และความเป็นเผด็จการด้วย ซึ่งจะทำให้เส้นทางประชาธิปไตยเดินผิดอย่างมาก”
นายนิติธร กล่าวว่า เพื่อไทยชนะ ก็ไม่ได้สะท้อนว่า ประชาธิปไตยชนะ หรือเผด็จการแพ้ แต่ความจริงหมายถึงกลุ่มผลประโยชน์ชนะ วิถีทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ที่ไม่ยึดกฎหมายเป็นที่ตั้งก็จะกลับมาเป็นตัวแทน ดังนั้น ทั้งเพื่อไทยและ รทสช. จึงไม่เป็นคุณูปการของความเป็นชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน
พร้อมทั้งกล่าวถึงนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ปราศรัยอ้างพระราชดำรัสของ ร.9 ต้องการให้ประชาชนเลือกคนดีมาปกครอง ถ้าเลือก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็จะเป็นคนดีตามความหมายของ ร.9 นายนิติธร แย้งว่า เรื่องนี้พูดหมิ่นเหม่มาก จะชักจูงในทางที่ผิด และเป็นการหาเสียงที่ทำให้สถาบันกษัตริย์ถูกมองในทิศทางที่ไม่ควร รวมทั้งไม่ควรดึงลงมาเล่นกับการเมือง
“ถ้านำมาตรฐานของประยุทธ์ ไปเทียบกับคนดีตามพระราชดำรัสแล้ว ต้องไม่มีกรณีเซ็นให้ราคาก๊าซลอยตัว ต้องไม่มีการขายวงจรดาวเทียมในราคาต่ำที่สุด และต้องไม่มีสหรัฐมาครอบงำประเทศไทยได้ง่ายที่สุด อีกทั้งต้องไม่เกิดกรณีประชาชนถามถึงต้นทุนน้ำมันที่แท้จริง ต้องไม่เกิดความเป็นหนี้แล้วหนี้อีก และต้องไม่เกทับหาเสียงจาก 700 บาท เป็น 1,000 บาท”
นายนิติธร กล่าวว่า การหาเสียงของเพื่อไทยและ รทสช. รวมทั้งทุกพรรคนั้น ยังไม่รู้ว่าจะเอางบประมาณที่ไหนมาจ่ายในการหาเสียงไว้ ซึ่งจะเป็นหนี้สินสาธารณะกว่า 10 ล้านล้านบาทต้องเพิ่มอีกเท่าไร และเมื่อพักหนี้ 3 ปีจะใช้งบประมาณมากเท่าไร
ดังนั้น ทุกพรรคการเมืองต้องมีคำตอบในเรื่องเหล่านี้ และควรอธิบายให้ได้ทางวิธีการทางงบประมาณทำได้หรือไม่ โดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องเรียกพรรคการเมืองมาสอบถามถึงความสุ่มเสี่ยงทางเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นมากน้อยขนาดไหน นำไปสู่การล้มละลายแค่ไหน สิ่งนี้แสดงถึงการเสนอหาเสียงแบบประชานิยม ซึ่งเป็นการไร้ปัญญาทางเศรษฐกิจของพรรคการเมือง ดังนั้น กกต.ต้องเข้ามาตรวจสอบว่า เข้าข่ายความผิดหรือไม่
“หาเสียงเช่นนี้ ถ้าเกิดการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากไม่มากพอ เพราะกลุ่มคนไม่เกิน 20 ตระกูลอาจประมาณ 5% ยึดทรัพย์สินประเทศ เอารายได้ทั้งหมดไปกว่า 60% ที่เหลืออีก 40% เป็นของบริษัทอีกเป็นล้านๆ และแสดงถึงกิจการเอ็สเอ็มอีกำลังล่มสลาย จึงมีคนไม่รอดจากภาวะวิกฤตและรัฐอุ้มไปไม่ได้ตลอดหรือ?”
นายนิติธร กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์ไทยถูกแทรกแซงจากสหรัฐและกลุ่มยุโรปด้วยการควบคุมระเบียบโลก และมองการเมืองไทยเป็นระบบทหารและสถาบันกษัตริย์ชี้นำผลการเลือกตั้ง แสดงถึงการส่งเสริมให้พรรคก้าวไกลและเพื่อไทยอย่างมีนัยยะสำคัญ นอกจากนี้ การวิเคราะห์ขององค์กรต่างชาติ ยังมุ่งโจมมีสถาบันว่ายุ่งเกี่ยวทางการเมืองและมีทหารอยู่เบื้องหลังทางการเมือง
“องค์กรต่างชาติไม่แตะต้องกลุ่มทุนว่า อยู่เบื้องหลังทางการเมืองอย่างแท้จริงเลย ซึ่งมีกลุ่มทุนสหรัฐ ไซออนนิสต์เข้ามาดำเนินการเหมืองทองคำ ไฟฟ้า พลังงาน เทคโนโลยี สื่อสาร และวงจรดาวเทียม อีกทั้งวงการธนาคารที่ พวกเขามีอิทธิพลอยู่ในไทยขณะนี้ ดังนั้น ไม่ว่าทักษิณ หรือระบิบ 3 ป. ย่อมทำให้ทุนเติบโตทั้งสิ้น ไม่มีการรัฐประหาร การเลือกตั้งที่จะจัดการได้เลย แต่ทุนกลับเติบโตขึ้นทั้งในช่วงวิกฤต”
อีกทั้ง กล่าวว่า กลุ่มทุนต่างชาติที่แอบแฝงในไทย แสดงนัยยะถึงการมีต่างชาติแอบแฝงโจมตีสถาบันกษัตริย์เรื่อยมา เริ่มตั้งแต่ทักษิณ แล้วมาถึงช่วง 3 ปีตั้งแต่ปี 2562 มานั้น มีการกระแทกสถาบันอย่างรุนแรง แต่ทหารเพิกเฉยผิดปกติและมีนัยยะสำคัญ
นายนิติธร กล่าวถึง การดำเนินคดี ม.112 ที่ไม่สอดคล้องกับความไม่พึ่งดำเนินคดีของสถาบันกษัตริย์และการบริหารงานที่อ้างสถาบันกษัตริย์ เช่น การถวายสัตย์ไม่ครบถ้วน และพูดในสภาว่าเข้าเฝ้าได้คนเดียว รวมทั้งมีเสียงเล่าอ้างถึงสถาบันกษัตริย์สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จึงเป็นข่าวลือซึ่งน่าเกลียด แต่ก็มีคนกล้าทำแบบนี้ ดังนั้น ทิศทางทำให้สถาบันสุ่มเสี่ยงจึงมีพรรคการเมืองร่วมขบวนการอยู่ด้วย
นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงสงครามรัสเซียกับยูเครนที่จะมีผลกระทบต่อไทยว่า สหรัฐและกลุ่มไซออนนิสต์ ลากดึงไทยด้วยสนธิสัญญาอินโดแปซิฟิกที่ให้กำลังทหารเข้ามาแทรกแซงทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมได้ ดังนั้นประชาชนต้องวัดกันเอาว่า จะรอความเสียหายระหว่างเลือกตั้งที่จะกระทบคนไทยและสถาบันกษัตริย์ และความเป็นชาติมากที่สุด ส่วนกลุ่มทุน นักการเมือง และทหารไม่ได้เสียหายอะไรเลย
“ต้องตัดสินใจกันเอง วัดกันเองว่า จะเอาอะไร และถ้าจะวัดกันแค่ทหารไทยกับกองกำลังทหาร 7,000 คนพร้อมเรือรบ ทหารไทยที่กองกำลังถึง 4 แสนนายไม่มีทางสู้ได้ เพราะระบบไซเบอร์ถูกควบคุมจากสหรัฐเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ประชาชนจึงต้องลุกขึ้นปกป้องกันเอง ถ้าหลงใหลการเลือกตั้งที่มองไม่เห็นอนาคต เนื่องจากได้ใครมา แต่กลุ่มทุนและความทุกข์ยากของคนไทยก็ไม่เปลี่ยน เพราะประชาชนถูกทำลายโอกาสทุกมิติ”
นายนิติธร เสนอว่า มีทางเดียวที่จะแก้ปัญหาได้คือการลุกขึ้นของประชาชนเป็นหนึ่งเดียวกัน ถ้าดิ้นอยู่กับชะตากรรมการเมืองเช่นนี้ ส่อจะเกิดวิกฤตแบบพม่า ยูเครนที่เกิดขึ้นแล้ว และอาจจะเกิดขึ้นกับไทย”
ประเทศไทยต้องมาก่อน
#เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS
