ยักษ์เขียว (YAK GREEN) เชิญพันธมิตรจากตะวันออกกลาง  ร่วมปาฐกถาพิเศษในงานเสวนา “Make Everyone Love Trees”

เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2567 บริษัท ยักษ์เขียว จำกัด (YAK GREEN Co., Ltd.) จัดเสวนาพิเศษ “Make Everyone Love Trees” เชิญอดีตรัฐมนตรี พันธมิตร นักธุรกิจ และวิสาหกิจชุมชน มาร่วมสร้างโอกาสให้ประเทศไทยร่วมกัน เพื่อเป็นการแบ่งปันความรู้ คืนสู่สังคม ณ โรงแรม แลงคาสเตอร์ กรุงเทพฯ เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มธุรกิจ วิสาหกิจชุมชน ตลอดจนพันธมิตรที่สนใจ ได้รับข้อมูลจากตัวจริง ทั้งจากผู้กำหนดนโยบายระดับสูงสุด ผู้บริหาร ผู้ประกอบการชั้นนำ ที่มีประสบการณ์ในการเชื่อมโยงการค้า การลงทุนของไทย ไปสู่ระดับนานาชาติ ซึ่งถือเป็นงานที่รวมพลคนระดับประเทศ และนานาชาติ ที่ยิ่งใหญ่ต้อนรับต้นปี 2567 ถือเป็นการสร้างโอกาส และส่งเสริมยุทธศาสตร์การค้าระหว่างประเทศ ที่ขับเคลื่อนโดยภาคเอกชนที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

ภายในงานได้รับเกียรติจาก Eng. Mohamed Sallem, Chief Strategy Officer, Arabian Peninsula Forests หนึ่งในพันธมิตรธุรกิจในภูมิภาค GCC ที่มีสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น มาพูดปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “Shaping the Future Beyond Saudi Arabia’s Vision 2030” โดยคุณ Eng. Mohamed Sallem กล่าวว่ารู้สึกได้รับเกียรติเป็นอย่างมากที่ได้มาเข้าร่วมงานเสวนาในครั้งนี้ ถึงแม้ตนเองจะไม่ใช่คนซาอุดิอาระเบีย แต่อยากนำเสนอเนื้อหาที่มีคุณค่ากับงานนี้

วิสัยทัศน์ของเจ้าชาย
จากวิสัยทัศน์ของเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอาซีซ อาล ซะอูด มกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย ได้ทำให้ซาอุฯ มีการเติบโตขึ้นมาอย่างมากทั้งในแง่ธุรกิจและสังคม และมองว่าโอกาสทางธุรกิจระหว่างประเทศซาอุฯ กับประเทศไทยนั้นมีมากมายไม่ว่าจะเป็นด้านปิโตเลียม, การก่อสร้าง, โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ และที่สำคัญที่สุดคือโอกาสทางด้าน Green ที่จะทำให้ประเทศซาอุฯ เป็นสีเขียวภายใต้ Vision ของเจ้าชายคนปัจจุบัน

The Green of Saudi Arabia
เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2564 เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอาซีซ อาล ซะอูด มกุฎราชกุมาร ได้ประกาศถึง The Green of Saudi Arabia ที่มีความต้องการมีต้นไม้จำนวนมากกว่า 10,000 ล้านต้นในประเทศ พร้อมทั้งในเดือนสิงหาคมปีเดียวกันได้ประกาศออกมาเพิ่มว่าจะมีการทำให้ตะวันออกกลางมีพื้นที่สีเขียวมากขึ้น โดยจะเพิ่มต้นไม้อีกกว่า 40,0000 ล้านต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นโอกาสสำคัญที่ทำให้ซาอุฯ นั้นเป็นแหล่งเพาะปลูกต้นไม้เพื่อส่งออกไปทั่วทั้งตะวันออกกลาง และเป็นพื้นที่ที่ใหญ่ที่สุดในการทำให้ต้นไม้เจริญเติบโต

ในปี 2566 มีการเริ่มต้นที่เมืองเจดดาห์ ที่มีความต้องการให้มีต้นไม้จำนวนมากในซาอุฯ จำนวน 10,000 ล้านต้น และในตอนนี้ที่โครงการ Red sea ในซาอุฯ ได้มีการเพาะปลูกต้นไม้พร้อมทั้งยังมีสวนพฤกษศาสตร์สำหรับการเพาะปลูกต้นไม้เพื่อให้เกิดพื้นที่สีเขียว และอีก 2 ปีข้างหน้าได้มีการวางแพลนไว้ที่จะเพาะปลูกต้นไม้อีกจำนวน 45 ล้านต้น โดยตอนนี้ได้เริ่มมีการเพาะปลูกต้นเลมอนจำนวน 4 ล้านต้นแล้ว

สร้างสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
สำหรับตอนนี้มีการสร้างสวนสาธารณะในริยาดห์บนพื้นที่กว่า 16 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณกว่า 10,000 ไร่ ซึ่งเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่มีชื่อว่า “King Salman Park” พร้อมกันนี้ในปี 2573 ได้ตั้งเป้าไว้ว่าจะปลูกต้นไม้ให้ได้ถึง 100 ล้านต้น เพื่อเป็นการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งการทำสิ่งเหล่านี้เพราะอยากเปลี่ยนให้ประเทศซาอุฯ จากทะเลทรายให้กลายเป็นพื้นที่สีเขียว

Mega Project In Saudi Arabia
สำหรับโครงการนี้จะมี Neom ที่หลายคนได้ยินชื่อกันที่ต้องการพัฒนาให้เป็นเมืองอย่างยั่งยืน, Makkah ซึ่งเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ที่ได้มีการวางแผนไว้ว่าจะปลูกต้นไม้จำนวน 15 ล้านต้น ซึ่งคนในพื้นที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการปลูกครั้งนี้ พร้อมทั้งมีการใช้วิทยาศาสตร์มาช่วยปลูกด้วย สำหรับ Roshn จะเป็น A Public Invesment Fund กองทุนที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นมาเพื่อปลูกต้นไม้ และมีที่อยู่อาศัย 130,000 ยูนิต รวมถึงการขุดคลองแห่งแรกในโลกที่จะถูกขุดด้วยมนุษย์, The Red Sea Project ได้เริ่มสร้างตั้งแต่ 3 ปีที่แล้วซึ่งมีแนวคิดมาจากมัลดีฟส์ ซึ่งที่นี่มีเกาะประมาณ 52 เกาะ และตอนนี้มีการปลูกต้นไม้ มีการนำเข้าต้นไม้โดยเป็นต้นโกงกางประมาณ 16 ล้านต้น

King Salman Park มีความต้องการสร้างสวนสาธารณะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งจะมีการปลูกต้นไม้บนพื้นที่ 16 ตารางกิโลเมตร เพื่อเปลี่ยนพื้นที่ทะเลทรายให้กลายเป็นป่าสีเขียว, Jeddah Central จะทำเป็นเมืองท่าที่มีพื้นที่ราว 4,000 ไร่ ซึ่งเมืองนี้เป็นเมืองท่าเพื่อการค้าขายมาหลายร้อยปี, Qiddiya Project เป็นโครงการที่ใหญ่ที่สุดของซาอุฯ โดยที่ประเทศมีการลงทุนเองทั้งหมด มีขนาดพื้นที่ประมาณ 350 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณเกือบ 20,000 ไร่ จะสร้างสวนขนาดยักษ์ และจัดให้เป็นศูนย์กลางของความบันเทิงในประเทศ

พระราชดำริของปรินซ์ Prince Mohammed bin Salman Park
สำหรับปีหน้าหรือปีพ.ศ. 2568 ได้มีพระราชดำริของปรินซ์ Prince Mohammed bin Salman Park ที่จะสร้างสวนในนามพระองค์ ภายใต้มูลนิธิในนามพระองค์ ขนาดประมาณ 14,000 ไร่ ซึ่งอยู่ห่างจากริยาดห์ประมาณ 15 กิโลเมตร โดยมีชื่อสวนว่า “The Prince Mohammed bin Salan Park” นอกจากนี้ยังมีโครงการ AIUla Project ที่เป็นเมืองโบราณเพื่อทำเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ยังคงอนุรักษ์สภาพแวดล้อมคงเดิมไว้ โดยอาจมีการปรับปรุงโครงสร้างเล็กน้อยและออกแบบภูมิสถาปัตย์

เตรียมจัดงานใหญ่ปี 2030 ผู้เข้าร่วมกว่า 100 ล้านคน
ในปี 2030 หรือพ.ศ. 2573 ที่ริยาดห์จะมีการจัดงานใหญ่ระดับโลก ซึ่งงานนี้จะเป็นการลงทุนที่มีมูลค่ามหาศาล และจะมีธุรกิจจากทั่วทั้งโลกมาเปิดกันที่นี่ โดยคาดหวังว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานในครั้งนี้ประมาณ 100 ล้านคน ซึ่งถือเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจครั้งสำคัญ สำหรับฟุตบอลโลกในปี 2034 ที่ประเทศซาอุฯ เป็นเจ้าภาพ (The 2034 FIFA World Cup) จะมีการสร้างสนามสำหรับการแข่งขันอีก 6 แห่ง ที่เพิ่มขึ้นมาตั้งกระจายทั่วทั้งประเทศ และคุณ Eng. Mohamed Sallem ได้พูดทิ้งท้ายถึงการแข่งขันบอลโลกครั้งนี้ว่า “หวังว่าเราจะได้เจอประเทศไทยในการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้”
Eng. Mohamed Sallem ยังกล่าวชื่นชมยักษ์เขียว (YAK GREEN) ในการเป็นตัวจริงที่จริงจังกับการส่งออกต้นไม้จากประเทศไทยและทั่วโลกมาสู่ตะวันออกกลางอย่างจริงจังและเชื่อมั่นว่าด้วยความร่วมมือระหว่างยักษ์เขียวและ Arabian Peninsula Forests (APF) จะสร้างโอกาสทางการค้าและเศรษฐกิจเป็นอันดีระหว่างประเทศไทยและซาอุดิอาระเบียอย่างยั่งยืนในอนาคต

ดูข่าวอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับยักษ์เขียวและการขยายตลาดสู่ตะวันออกกลางได้ที่

https://tojo.news/make-everyone-love-trees/
https://tojo.news/make-everyone-love-trees-2/
https://tojo.news/make-everyone-love-trees-3/
https://tojo.news/yak-green-make-everyone-love-trees/

ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.yakgreen.com

#MakeEveryoneLoveTrees #YAKGREEN #ยักษ์เขียว #ซาอุดิอาระเบีย #ตะวันออกกลาง #GCC

#EngMohamedSallem #ShapingtheFutureBeyondSaudiArabiasVision2030