Connect with us

Published

on

บทสุดท้ายของปี 2020 ช่วงคริสต์มาสแบบนี้จะมีอะไรดีไปกว่าการได้ตกแต่งต้นคริสต์มาสในบ้าน ตกแต่งไฟสวยๆ ทำอาหารอร่อยๆ ทานกับคนเพื่อน คนรัก หรือครอบครัว 

แต่รู้หรือไม่ว่าเทศกาลคริสต์มาสเองก็มีสิ่งที่ถูกทำต่อๆ กันมาจนกลายเป็นประเพณีประจำเทศกาลคริสต์มาสไปแล้ว! วันนี้โตโจ้นิวส์จะพาไปดูกันว่ามีประเพณีวันคริสมาสนั้นมีอะไรบ้าง และประเพณีเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ตามมาเลย…

  1. การแขวนถุงเท้า (HANGING STOCKINGS) 

ในวันคริสต์มาสอีฟ (24 ธันวาคมของทุกปี) ผู้คนจะนิยมเอาถุงเท้ายาวไปห้อยไว้ที่หน้าเตาผิง หรือว่าตามต้นคริสต์มาส เพราะจะเชื่อกันว่า ซานตาคลอสจะเอาของขวัญที่อยากได้มาใส่ไว้ในถุงเท้า แต่ความจริงแล้ว ที่มาของการแขวนถุงเท้านั้นมาจากความเชื่อที่ว่า การวางหญ้าแห้งไว้ในถุงเท้า เมื่ออีกความเชื่อก็ว่า มีพี่น้อง 3 คน ฐานะยากจน ไม่มีเงินกระทั่งจะต้องไปทำงานโสเภณี เมื่อเรื่องถึงนักบุญนิโคลัส จึงได้นำเหรียญทองไปหยอดลงปล่องไฟ แต่เหรียญกลับตกลงไปในถุงเท้าของ 3 พี่น้องที่แขวนไว้หน้าปล่องไฟ เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อ 3 พี่น้องมาเจอเหรียญ ทำให้พวกเธอดีใจ และเลิกล้มความคิดที่จะไปเป็นโสเภณี หรืออีกความเชื่อก็ว่า นักบุญนิโคลัส (ซานตาคลอสคนแรก) เดินทางผ่านมา จะนำหญ้าแห้งมาเป็นอาหารให้กับลาของเขา  และจะทิ้งเหรียญเงินไว้ในรองเท้าเพื่อเป็นการตอบแทน ต่อมาก็เลยทำให้มีผู้คนมากมายแขวนถุงเท้ายาวไว้ในวันคริสต์มาส โดยหวังว่าจะได้รับของขวัญแบบเดียวกันบ้าง

  1. เคาะประตูร้องเพลงเฉลิมฉลอง (CAROLING) 

เป็นการไปเยี่ยมเพื่อนบ้าน คนรู้จัก หรือญาติพี่น้อง เพื่ออวยพร และสร้างความสุขให้กับคนที่รักในวันคริสต์มาส การเคาะประตูร้องเพลง คือการรวมกลุ่มกันและเดินไปเคาะประตูทีละบ้าน เมื่อประตูเปิด พวกเขาจะร้องเพลง ประมาณ 1 – 2 เพลง และเจ้าของบ้านก็จะตอบแทนโดยให้ขนม อาหาร เครื่องดื่มเพื่อเป็นน้ำใจตอบแทน ส่วนเพลงที่จะนิยมร้องกัน ก็คือ  White Christmas,” “Santa Claus Is Coming to Town”  และ “Rudolph the Red-nosed Reindeer.” Oh Come, All Ye Faithful, Silent Night, Holy Night

  1. ต้นคริสต์มาส (EVERGREENS) 

เรื่องราวของต้นคริสต์มาส เริ่มต้นมาจากประเทศเยอรมัน โดยคนชื่อ “Martin Luther” ตอนเขาเดินกลับบ้าน เขาดันหันไปเห็น แสงของดวงจันทร์ที่ทะลุผ่านกิ่งไม้ พอถึงบ้านเขาเลยออกไปหาและตัดเอาต้นไม้ต้นเล็กๆ กลับเข้ามาในบ้านและเอาเทียนมาประดับ ต่อมาเลยทำให้ประเพณีวันคริสต์มาสนี้แพร่ไปจนทั่วประเทศเยอรมัน จนราชวงศ์อังกฤษได้เอาการตกแต่งต้นไม้แบบนี้เข้ามาใช้อย่างจริงจัง เลยทำให้คนทั่วโลกเริ่มหันมาตกแต่งต้นคริสต์มาสกันมากขึ้น และกลายเป็นธรรมเนียมที่ทำกันทุกปี

สำหรับต้นคริสต์มาสนั้น เปรียบเสมือน ต้นไม้ในสวรรค์ โดยตามพระคัมภีร์นั้นได้เปรียบพระเยซูเจ้าว่าเป็นต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เขียวเสมอในทุกฤดูกาล สื่อถึงนิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า อีกทั้งความสว่างของพระองค์ยังเหมือนแสงเทียนที่ส่องสว่างในความมืด และรวมถึงความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูประทานให้ เพราะต้นไม้นั้นเป็นจุดศูนย์รวมของครอบครัวในเทศกาลคริสต์มาส

  1. คู่สีแดง-เขียว (THE COLORS RED AND GREEN) 

ทำไมเทศกาลคริสต์มาสต้องเป็นสีแดงหรือสีเขียว เคยตั้งคำถามในหัวกันไหมว่าทำไมกันนะ นั้นก็เพราะว่า สีแดงจะหมายถึงความรัก ที่ผ่านพระโลหิตของพระเยซูบนไม้กางเขน และหมายถึงความรัก ความศรัทธาที่มีต่อพระเยซูของชาวคริสต์ ซึ่งจะใช้ผลสีแดงจากต้นฮอลลี่เป็นสัญลักษณ์ ส่วนสีเขียวนั้นจะหมายถึง ความมีชีวิตชีวา ความหวัง ซึ่งจะใช้ต้น Evergreen เป็นสัญลักษณ์

  1. เตรียมขนมและนมให้กับซานต้า (LEAVING MILK AND COOKIES FOR SANTA) 

เด็กๆ จะเชื่อกันว่าซานต้าจะมาหาและนำของขวัญมาให้ ในคืนก่อนวันคริสต์มาส แต่ซานต้าต้องทำงานหนัก เพราะต้องรีบส่งของขวัญให้เด็กๆ ทุกบ้านมากมาย ก่อนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น ดังนั้นเพื่อที่จะเป็นการขอบคุณซานต้า จึงเกิดประเพณีการวางคุ้กกี้พร้อมกับนมสด เอาไว้ข้างๆ เตาผิง ก่อนเข้านอน เพื่อให้ซานต้า และบางครั้งก็อาจจะมีแครอทให้กับพวกกวางเรนเดียร์ทั้ง 9 ตัวด้วยเช่นกัน 

  1. ดูหนังมาราธอน (THE A CHRISTMAS STORY MARATHON ON TBS) 

ในทุกๆ ช่วงวันคริสต์มาส ช่อง TBS รายการทีวีชื่อดังประเทศอเมริกัน จะเปิดภาพยนต์หรือหนังที่เกี่ยวข้องกับวันคริสต์มาสตลอดทั้งวัน หรือแบบมาราธอน โดยส่วนใหญ่แล้วช่วงเวลาคริสต์มาสจะเป็นช่วงเวลาที่ครอบครัวจะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ทานข้าวด้วยกัน ดังนั้นการได้ดูหนังในช่วงวันหยุดคริสต์มาสด้วยกัน จึงเป็นกิจกรรมที่ช่วยเติมเต็มความสุขให้กันในครอบครัว

  1. ต้นมิสเซิลโท (MISTLETOE)

ต้นมิสเซิลโท เป็นเรื่องราวความเชื่อของชาว เคลท (Celtic) ในยุโรป ว่าในทุกหน้าหนาวที่มาถึง จะมีหนึ่งคืนที่จะมีกลางคืนยาวกว่ากลางวัน หรือจะเรียกว่า “เหมายัน”  โดยชาวเคลทจะนำต้นมิสเซิลโทซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการมีชีวิต และฮอลลีที่เป็นลัญลักษณ์ของการปกป้อง คุ้มครอง มาห้อยไว้ทีหน้าประตู เพราะเชื่อว่าจะช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้ายต่างๆ ได้ จนทำต่อๆ กันมา และได้กลายเป็นหนึ่งในประเพณีของเทศกาลคริสต์มาสไปแล้ว 

Continue Reading
Advertisement ad-02-doosoft.jpg
Click to comment

You must be logged in to post a comment Login

Leave a Reply

Advertisement QK6ZtN.png

Copyright © 2022 TOJO.NEWS

%d bloggers like this: