Connect with us

Lifestyle

‘ชีวิต กับ รถไฟ’ ที่มากกว่ายานพาหนะวิ่งตามราง ของ “แฮม แฟนพันธุ์แท้รถไฟไทย”

Published

on

เด็กชายตัวเล็กๆ ที่ไปโรงเรียนใกล้ทางรถไฟ คุ้นเคยกับเสียงหวูด สองเท้าวิ่งเข้าหาเสียง สายตามองยานพาหนะขบวนยาวอย่างตื่นเต้นทั้งๆที่เห็นมันแทบทุกวัน กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เด็กตัวเล็กๆคนหนึ่ง อยากรู้จักยานพาหนะขบวนยาวนี้ จนวันหนึ่งเขาไม่ใช่แค่หลงรัก แต่สำหรับเขารถไฟคือชีวิตของเขาไปแล้ว


วันวิสข์ เนียมปาน หรือแฮม แฟนพันธุ์แท้รถไฟไทย ชายวัย 33 ที่ทำงานในการรถไฟแห่งประเทศไทย หน้าที่ของเขาคือหัวหน้าหมวดวิเทศสัมพันธ์ กองการต่างประเทศ ที่ทำงานด้านการประสานงานและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ได้เล่าจุดเริ่มต้นของชีวิตที่ผูกพันกับรถไฟมานานจากรู้จักแค่เสียง เห็นแค่ราง มองแค่ตอนวิ่งผ่าน จนมาเป็นผู้โดยสาร และทุกวันนี้กลายมาเป็นหนึ่งในบุคคลากรที่มีส่วนในการพัฒนารถไฟไทย ที่เป็นเสมือนชีวิตของเขา

“ในวัยเด็กเราเป็นคนไม่มีเพื่อนฝูงมากนัก สิ่งที่เยียวยาชีวิตวัยเด็กได้คือหนังสือและของเล่น แต่ถ้าเรียกว่าโชคดีก็ได้แหละเพราะที่ญาติพี่น้องเลี้ยงดูเราให้อยู่ในความควบคุมมันเป็นเพราะสภาพแวดล้อมรอบบ้านที่เราเติบโตมามันก็ไม่ได้ดีนักเช่นกัน บางทีการเลี้ยงดูหลานผู้ชายให้อยู่ในกรอบแล้วพาออกไปพบเจอโลกภายนอกทุกสัปดาห์มันก็เป็นอีกโอกาสนึงที่เรามีมากกว่าเด็กคนอื่นๆ ในละแวกเดียวกันด้วยซ้ำไป

กิจกรรมวัยเด็กของเราคือการไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนประถมเล็กๆ แห่งหนึ่งย่านมักกะสัน แต่จิตของเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ คนนึงไปผูกกับยานพาหนะที่เรียกว่ารถไฟตอนไหนก็ไม่รู้ เรากลายเป็นเด็กที่มีความไวต่อเสียงและรูปลักษณ์ของรถไฟเป็นอย่างมาก ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงหวีดรถไฟ (มันก็คือหวูดนั่นแหละ แต่ภาษารถไฟเขาเรียกว่าหวีด) หรือเห็นรถไฟวิ่งผ่านสายตาไป สิ่งที่อยู่ภายในมันจะกระตุ้นให้เราละทิ้งของที่อยู่ตรงหน้าแล้วพุ่งไปที่เจ้ายานพาหนะขบวนยาวทันที ทุกๆ เย็นหลังเลิกเรียนย่าก็ต้องพาไปดูรถไฟที่หน้าปากซอยหมอเหล็ง ให้หลานชายเห็นก่อนกลับบ้านอย่างเสียไม่ได้ นอกจากนั้นแล้ววันเสาร์ก็ต้องจูงมือหลานไปสถานีรถไฟมักกะสัน จริงๆ ภารกิจของย่าคือซื้อของสดไปทำกับข้าว แต่สำหรับเรานั้นมันคือการมานั่งดูรถไฟวิ่งผ่านไปผ่านมาที่สถานีรถไฟ มันก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของการใกล้ชิดรถไฟมากขึ้น มากขึ้น จนกลายเป็นเพื่อนสนิทซี้ปึ้กตัวติดกันอย่างทุกวันนี้


แต่ก่อนเวลาจะได้นั่งรถไฟมีแค่ 2 อย่างเท่านั้น คือไปบ้านยายที่ต่างจังหวัด แล้วก็ไปเที่ยวกับที่บ้าน การได้เจอรถไฟแต่ละครั้งนั้นมันช่างยากลำบากแท้ ใครจะกล้าปล่อยเด็กประถมไปนั่งรถไฟเล่นล่ะจริงไหม จนในที่สุดพออายุได้ 13 ขวบ พร้อมที่จะได้นั่งรถไฟคนเดียวแล้ว การตัดสินใจให้ลูกชายนั่งรถไฟจากกรุงเทพฯ ไปพิจิตรเป็นสิ่งที่พ่อได้เปิดโลกประสบการณ์การนั่งรถไฟ “คนเดียว” ให้กับเราครั้งแรกในชีวิตโดยไม่มีผู้ปกครองตามติด คือญาติพี่น้องก็ย่อมห่วงแหละเดินทางตั้ง 300 กว่ากิโล แถมเป็นเด็กด้วยไปคนเดียวอีกต่างหาก ซึ่งนั่นก็คือความภูมิใจของเราเลยนะที่ออกไปสู่โลกกว้างได้โดยไม่มีใครต้องโอบ

ความซวยก็คือความซวยอะเนอะ อายุ 13 ที่ Lucky number มาก รถไฟตกรางที่ลพบุรีจ้า ไม่ใช่ขบวนของเรานะ แต่เป็นขบวนที่สวนเรามาตกรางขวางไว้ รถไฟขบวนของเราเลยไปไหนต่อไม่ได้ สมัยนั้นโทรศัพท์มือถือก็ไม่มีตามตัวไม่ได้ ก็ต้องโทรหยอดเหรียญเอา เราตัดสินใจโทรกลับมาบ้านที่กรุงเทพฯเพื่อรายงานเหตุการณ์ดังกล่าวซึ่งญาติพี่น้องลงความเห็นให้เรานั่งรถไฟกลับกรุงเทพฯ ทันที แต่เราตัดสินใจแล้วว่าเดินหน้าต่อสิ


หลังจากอ้อนวอนสำเร็จ เราก็เดินทางต่อไปถึงพิจิตรได้อย่างทุลักทุเล เหตุการณ์ในวันนั้นเป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นการจัดการเวลาเกิดวิกฤตของรถไฟว่าเขาทำกันอย่างไร ผู้โดยสารกลุ่มที่ติดอยู่สถานีลพบุรีถูกเรียกขึ้นรถบัสไปที่สถานีโคกกะเทียม ซึ่งเป็นสถานีที่มีรถไฟอีกขบวนมาจอดรออยู่ และรถบัสคันนั้นก็รับคนจากสถานีโคกกะเทียมไปขึ้นรถไฟขบวนที่เรานั่งมาที่สถานีลพบุรี วิธีนี้เรียกว่าการขนถ่ายผู้โดยสารทางรถยนต์ ด้วยความที่เป็นคนชอบรถไฟแต่เดิมอยู่แล้วและเป็นเด็กตัวน้อย (ในตอนนั้น) พี่ๆ พนักงานรถไฟก็ดูแลเราเป็นอย่างดี เราถามอะไรพี่เขาก็ตอบเท่าที่ตอบได้ แถมเล่าเรื่องรถไฟให้เราฟังเยอะแยะ มันเลยยิ่งจุดประกายว่าวันนึงฉันจะทำงานที่การรถไฟให้ได้

แฮม เมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษาฝึกงาน

วันเวลาผ่านไป จากเด็กผู้ชายที่ชอบรถไฟและไปเป็นผู้ประสบภัยเติบโตขึ้น ความรู้สึกสนใจในรถไฟมันน้อยลง เพราะเรามักโดนผู้ใหญ่ล้อเลียนว่าเป็นเด็กประหลาด เด็กบ้ารถไฟ เสมอๆ จนเรารู้สึกอาย เมื่อก่อนเราไม่เคยบอกใครต่อใครเลยว่าเราชอบรถไฟ จนกระทั่งเราได้รู้จักเพื่อนๆ หลายคนที่ชื่นชอบรถไฟเหมือนกัน ซึ่งนั่นมันเปิดโลกให้เรามาก ยิ่งทำให้โลกของเรามันยิ่งแจ่มชัดมากขึ้น การกระตุ้นความอยากที่จะอยู่ใกล้รถไฟมันกลับมาอีกครั้ง เราจึงเริ่มหาทางให้ตัวเองโดยการพยายามไปนั่งรถไฟบ่อยๆ ไปเรียนอะไรก็ได้ที่จะได้เข้าทำงานกับรถไฟที่เราคลั่งได้ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่โรงเรียนวิศวกรรมรถไฟที่เป็นโรงเรียนเฉพาะทางปิดรับนักเรียนเพราะปรับปรุงหลักสูตร เราเลยเบนเข็มไปเรียนมหาวิทยาลัยแล้วก็เลือกมาฝึกงานที่การรถไฟ ที่เราเลือกเลยคือห้องบริการเดินทางที่สถานีรถไฟกรุงเทพฯ จำได้เลยว่าช่วงนั้นเป็นเทศกาลสงกรานต์ ได้ฝึกฝีมือและการรับมือผู้โดยสารกันเต็มที่เลย


การฝึกงานมันทำให้เราได้ความรู้เรื่องรถไฟเยอะขึ้นมาก และเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ทั้งนั้น เพราะว่างานด้านบริการโดยสารมันเป็นหัวใจสำคัญของการเดินทางด้วยรถไฟที่ทุกคนต้องเจอ เราฝึกทักษะการนำเสนอข้อมูล ทักษะการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ทักษะการจดจำและถ่ายทอดข้อมูลให้ผู้โดยสารเข้าใจ ช่วงเวลาของการฝึกงานมันจึงเป็นช่วงการเรียนรู้ที่ดีที่สุดของชีวิตเราเลยก็ว่าได้ เพราะได้เป็นก้าวแรกที่ได้ทำงานและอยู่กับรถไฟจริงๆ


เมื่อเรียนจบ เราพยายามหาทางให้ตัวเองสอบเข้าทำงานที่การรถไฟให้ได้ ไม่มีเหตุผลอะไรเลยนอกจาก “อยากทำ” ซึ่งเราก็ไม่รู้ด้วยซ้ำนะว่ามันจะต้องใช้เวลานานขนาดไหน ช่วงระหว่างนั้นก็พยายามอัพสกิลตัวเองเผื่อว่าซักวันฟ้าจะมีตาบ้าง มันจึงเป็นช่วงที่นั่งรถไฟเที่ยวเก่งมาก ไปนั่นนี่โน่นตลอด นั่งรถไฟเหมือนว่าชาตินี้จะไม่ได้นั่งอีกแล้ว จนกระทั่งปี 2557 เราก็ได้ทำงานที่การรถไฟสมใจอยาก ถ้าตอนนั้นเสกคาถาผู้พิทักษ์ได้มันคงเป็นผู้พิทักษ์ที่ทรงพลังที่สุดที่เราเคยเสกมา ซึ่งเราคิดว่ามันจบ แต่มันไม่จบ


การเข้ามาทำงานที่การรถไฟนั้นมันเปลี่ยนบทบาทชีวิตของเรา จากที่เคยแค่อยากอยู่ใกล้ อยากนั่งเล่น และชอบ มันเปลี่ยนเป็นคำว่ารับผิดชอบ เราต้องเรียนรู้การทำงานอะไรอีกเยอะมาก ทั้งการประสานงานกับผู้คน การพูด การนำเสนอ การวางแผน โอ้โห มันเยอะไปหมด บอกไม่ถูก ซึ่งสิ่งที่เราสั่งสมชั่วโมงบินมามันแทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย มันมีภาษีดีกว่าคนอื่นแค่เรารู้ข้อมูลเบื้องต้นเยอะกว่าชาวบ้านเขา แต่หลักการทำงานจริงๆ มันไม่ใช่ นั่นเรายิ่งต้องฝึกตัวเองอีกมาก

เคยท้อไหม? เคยนะ เคยแบบอยากจะลาออกเลยด้วยปัญหาอะไรหลายๆ อย่างที่เราคิดว่าเราคง hold มันต่อไปไม่ไหวแน่ แต่เชื่อไหมด้านสว่างมันบอกว่า “สู้มาตั้งหลายปี แค่นี้ท้อแล้วหรอ” โอ้โห เดินต่อเลย เราต้องทำมันให้ดีกว่านี้สิ ก็เลยพยายามปรับปรุงตัวเอง ปรับวิธีการทำงาน และปรับทัศนคติตัวเองใหม่ให้เราทำงานได้อย่างราบรื่นที่สุดกับทุกๆ คนและตัวเราเอง


ตอนนี้เราให้คำตอบกับตัวเองได้แล้วว่า เรามาทำงานที่นี่เพราะอะไร
เพราะ Passion และความตั้งใจนั่นแหละ เราโชคดีมากที่เกิดมาในครอบครัวที่พร้อมสนับสนุน แม้ว่าช่วงแรกๆ คนรอบข้างจะคิดว่าเราเป็นเด็กแปลกและควรสนับสนุนต่อไปดีหรือไม่ แต่ตอนนี้เราเชื่อว่าครอบครัวเราคงมีคำตอบในใจอยู่แล้วว่าเขาคิดถูก ถ้าเรามีลูก หลาน หรือใครใดๆ ก็ตามที่เขามีความฝัน มีความพยายาม มีความตั้งใจ มี Passion จงสนับสนุนเถอะครับ ลองผิดลองถูกเอา สิ่งนั้นมันจะทำให้คนๆ นึงได้ใช้ศักยภาพของเขาอย่างเฉิดฉายต่อไป
และเราก็คิดว่า มีเด็กอย่างเราอีกหลายคนที่กำลังรอการสนับสนุนนั้นอยู่ เพื่อทำให้รถไฟของไทยมันพัฒนาขึ้นไปมากกว่าที่เป็น”

แฮม วันวิสข์ เนียมปาน

Continue Reading
Advertisement ad-02-doosoft.jpg
Click to comment

You must be logged in to post a comment Login

Leave a Reply

Advertisement QK6ZtN.png

Copyright © 2022 TOJO.NEWS

%d bloggers like this: