Connect with us

Published

on

หลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2015 พรรคเอ็นแอลดี ของนางอองซาน ซูจีได้รับชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์ โดยได้ที่นั่งในสภาประชาชน หรือ สภาล่าง 196 ที่นั่ง ที่นั่งในสภาชนชาติหรือสภาสูง 95 ที่นั่ง รวมสองสภาได้ 291 ที่นั่ง ขณะที่พรรคสหภาพเพื่อความสามัคคีและการพัฒนา หรือยูเอสดีพี ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลเดิม ได้ที่นั่งส.ส. 23 ที่นั่ง และที่นั่งในสภาสูง 10 ที่นั่ง รวมสองสภาได้เพียง 33 ที่นั่ง

(นางออง ซาน ซู จี มุขมนตรีแห่งรัฐ ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งล่วงหน้า เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2563ที่หน่วยเลือกตั้งแห่งหนึ่งในกรุงเนปิดอว์ ภาพจาก GettyImage)       

การขึ้นมามีบทบาทอย่างเต็มตัวในการปกครองเมียนมาโดยผ่านการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการของอองซาน ซูจี หรือ“ดอว์  ซู” ในฐานะ “ที่ปรึกษาแห่งรัฐ” และรัฐมนตรีต่างประเทศ ทำให้ทั้งโลกก็หันมาจับตามองเมียนมากันมากขึ้น หลายฝ่ายตั้งความหวังถึงความเปลี่ยนแปลงที่น่าจะเกิดขึ้นหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2551เพื่อนำประเทศไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย ปัญหาการกระทบกระทั่งกันของกลุ่มชาติพันธุ์ รวมถึงอำนาจของกองทัพเมียนมาหรือทัดมาดอร์จะถูกท้าทายจากการทำงานของอองซาน ซูจี มากน้อยเพียงใด

            5 ปีผ่านไป หลายผ่ายมองว่าการปกครองในยุคของอองซาน ซูจี กลับไม่ดีดังที่คาดหวังพรรคเอ็นแอลดี ล้มเหลวในการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2551 ที่ถือว่าเป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตย เนื่องจากให้อำนาจกองทัพแต่งตั้งรัฐมนตรีกระทรวงด้านความมั่นคง ได้แก่ กลาโหม,มหาดไทย และกิจการชายแดน โดยสงวนโควตา 1 ใน 4 ของที่นั่งในสภาให้กองทัพ เป็นผลให้กองทัพมีอำนาจยับยั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทำให้กระบวนการปฏิรูปแทบเป็นไปไม่ได้ แม้จะมีการตั้งคณะกรรมการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะการแก้ไขต้องได้รับเสียงสนับสนุนเกิน 3  ใน 4 ของสภา 

            นอกจากนี้พรรคเอ็นแอลดียังล้มเหลวในการสร้างสันติภาพและแก้ไขความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ ทั้งปัญหาในรัฐยะไข่, รัฐคะฉิ่น และพื้นที่ชาติพันธุ์อื่นๆ แม้จะมีการประชุมสันติภาพปางโหลง แห่งศตวรรษที่ 21 หลายครั้ง ก็ไม่มีผลต่อการหยุดความรุนแรงจากการสู้รบหรือยุติความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ได้ ทำให้กระบวนการสร้างสันติภาพต้องหยุดชะงัก กองทัพปฏิเสธข้อเรียกร้องให้มีการหยุดยิงกับกองทัพอาระกันระหว่างการระบาดของโควิด-19 โดยให้เหตุผลว่า รัฐบาลเคยประกาศสงบศึกชั่วคราวก่อนหน้านี้แต่อีกฝ่ายไม่สนใจ 

            ตลอดจนการตั้งชื่อสะพานอองซาน ในรัฐมอญ และการสร้างรูปปั้นอองซาน ในรัฐกะยา ซึ่งกลุ่มชาติพันธุ์มองว่าเป็นสัญลักษณ์การปกครองของคนเชื้อสายพม่า (Burmese) ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคเอ็นแอลดีกับกลุ่มชาติพันธุ์ และพรรคชาติพันธุ์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเลวร้ายลง ถือเป็นความผิดพลาดทางการเมืองครั้งใหญ่ของพรรคและอาจจะทำให้สูญเสียการสนับสนุนจากกลุ่มชาติพันธุ์

            นอกจากนี้ ปัญหาโรฮิงญาที่อยู่ในการพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice : ICJ)  กำลังถูกสหภาพยุโรปพิจารณาคว่ำบาตรทางการค้า อาจกระทบต่ออุตสาหกรรมสิ่งทอและแรงงานหลายแสนคนในร่างกุ้ง และมัณฑะเลย์ ซึ่งเป็นพื้นที่ฐานเสียงสำคัญของพรรคเอ็นแอลดี รวมถึงความล้มเหลวในการพัฒนาเศรษฐกิจโดยเฉพาะการลงทุนต่างประเทศ (FDI) ที่ถือว่าอัตราการเติบโตต่ำที่สุดนับตั้งแต่เปิดประเทศมา

แม้ผลงานในเรื่องการแก้ไขปัญหาคอรัปชั่น การปฏิรูปการศึกษาและเรื่องสิ่งแวดล้อมจะมีความคืบหน้า แต่ผลของการเลือกตั้งซ่อมในปี 2561 ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าพรรคเอ็นแอลดีกำลังสูญเสียความนิยมในฟื้นที่รัฐชาติพันธ์ ในขณะที่พรรค ยูเอสดีพี ซึ่งถือว่าล้มเหลวในการเลือกตั้งเมื่อปี 2558 แต่ก็ยังถือว่าเป็นพรรคขนาดใหญ่ มีความสัมพันธ์อันดีกับกองทัพแห่งชาติเมียนมาและกลุ่มนักธุรกิจชั้นนำ อีกทั้งนโยบายปรับปรุงโครงสร้างฟื้นฐานของประเทศก็ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มชาติพันธุ์ ก็ยังถือว่าเป็นคู่แข่งสำคัญของพรรคเอ็นแอลดี

            ความล้มเหลวของพรรคชาติพันธุ์ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2558 และความผิดหวังต่อ พรรคเอ็นแอลดี ทำให้พรรคชาติพันธุ์รวมตัวเป็นพันธมิตรการเมืองเช่น เคเอสพีพี – KSPP (Kachin State People’s Party) เป็นการรวมกันของ 3 พรรค ในรัฐคะฉิ่น ถือว่าสร้างความท้าทายต่อพรรคเอ็นแอลดีโดยตรง และแนวคิดแบบนี้กำลังมีการนำมาใช้ในรัฐมอญ, รัฐกะเหรี่ยง และรัฐกะยา โดยเฉพาะรัฐฉาน และรัฐยะไข่ ที่กลุ่มชาติพันธุ์มีความแข็งแกร่งเช่นรัฐยะไข่ซึ่งพรรคเอเอ็นพี – ANP (Arakan National Party ) พรรคชาติพันธุ์ที่แม้จะได้ที่นั่งมากที่สุดในการเลือกตั้งพ.ศ. 2558 แต่คนของพรรคกลับไม่ได้รับตำแหน่งบริหารในรัฐยะไข่ สร้างความไม่พอใจแก่คนในพื้นที่เป็นอย่างมาก   

            ในประวัติศาสตร์การเมืองของเมียนมา แม้จะเป็นพรรคใหญ่จะได้รับความนิยมมากกว่าพรรคเล็กและผู้สมัครอิสระ แต่พรรคเอ็นแอลดี อาจพบกับปัญหาจากการที่สมาชิกพรรคที่มีคะแนนนิยมสูงบางคนอาจจะหันลงสมัครกันอิสระ 

            รวมทั้งการตั้งพรรคใหม่ของฉ่วย มาน อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็ตั้งพรรคยูบีพี – UBP  (Union Betterment Party) หรือโก โก จี อดีตแกนนำคนรุ่น 88 รวมทั้งการรวมตัวเป็นพันธมิตรของพรรคเล็กๆ เช่น United Political Parties Alliance (UPPA) เป็นกลุ่มที่ 4 ของเมียนมา ต่อจาก UNA (United Nationalities Alliance ),NBF (Nationalities Brotherhood Federation) และ Federal Democracy Alliance (FDA) ก็รวมตัวกันเป็นกลุ่ม People’s Party ซึ่งอาจทำให้พรรคเอ็นแอลดี เสียที่นั่งในสภาไปไม่น้อย 

            การเลือกตั้ง พ.ศ.2563 แตกต่างกับพ.ศ. 2533 และ 2558 เพราะทั้งสองครั้ง เป็นการลงประชามติโดยพฤตินัยในการคัดค้านการปกครองของกองทัพหรือทัดมาดอว์ มากกว่าจะเป็นการแข่งขันในระบอบประชาธิปไตย โดยมีอองซาน ซูจี และพรรคเอ็นแอลดีถือว่าเป็นตัวแทนการเปลี่ยนแปลงและความหวังเพื่ออนาคตที่ดีกว่า แต่ความไม่พอใจที่เพิ่มมากขึ้นต่อ พรรคเอ็นแอลดีในพื้นที่ชาติพันธุ์ ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์เปลี่ยนไปสนับสนุนพรรคชาติพันธุ์ อาจจะกลายเป็นจุดชี้ขาดการเลือกตั้ง

            การเลือกตั้ง พ.ศ. 2563 พรรคเอ็นแอลดียังคงได้รับเสียงข้างมากถือเป็นโอกาสแก้ตัวสำหรับจัดการปัญหาการปฏิรูปรัฐธรรมนูญไปจนกระทั่งการจัดการความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ ชัยชนะอย่างถล่มทลายของพรรคเอ็นแอลดี ถึงแม้นจะมีคำครหาถึงเรื่องการลงคะแนนเสียงที่ถูกยกเลิกไปในหลายฟื้นที่ ยังทำให้มองได้ว่า อองซาน ซูจี ยังได้รับความไว้วางใจจากคนส่วนใหญ่ ให้รับมือกับสารพันปัญหาที่กำลังจะถาโถมสู่เมียนมาหลังการระบาดของ โควิด-19

เศรษฐกิจของพม่าในยุคอองซาน ซูจี 

            ในช่วงก่อนหน้ารัฐบาลของนางอองซาน ซูจี มูลค่าการลงทุนของต่างชาติที่ได้รับอนุญาตให้ลงทุนในเมียนมามีเฉลี่ยเพียงปีละ 2,083 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ โดยนักลงทุนต่างชาติอันดับหนึ่งในเมียนมาคือประเทศจีนโดยลงทุนในภาคทรัพยากรธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ เช่น การลงทุนในเหมืองแร่ทองแดง เหล็ก และหยก เป็นต้น 

            นับตั้งแต่นางอองซาน ซูจี ชนะการเลือกตั้งในสมัยแรก เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศก็ไหลเข้าเมียนมามากขึ้นกว่าเดิมประมาณ 3 เท่า เป็นเฉลี่ยปีละ 6,654 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ โดยเกือบครึ่งหนึ่งของเม็ดเงินลงทุนมากจากสิงคโปร์ ซึ่งเป็นพันธมิตรของชาติตะวันตกในอาเซียน จะเห็นได้ว่า รัฐบาลของนางอองซาน ซูจี พยายามปรับโครงสร้างการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศให้มีความสมดุลมากขึ้นระหว่างจีนและประเทศพันธมิตรของชาติตะวันตก นอกจากนี้ รัฐบาลเมียนมายังพยายามปรับโครงสร้างการลงทุนจากที่เคยพึ่งพาการลงทุนในทรัพยากรธรรมชาติ ไปสู่การลงทุนที่หลากหลายมากขึ้นทั้งในภาคอุตสาหกรรม และในโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เช่น ถนน นิคมอุตสาหกรรม และโรงไฟฟ้า ซึ่งการลงทุนเหล่านี้จะเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของเมียนมาได้ในระยะยาว

            ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี ที่นางอองซาน ซูจี ได้เข้ามาบริหารประเทศ เมียนมาได้เปลี่ยนแปลงจากประเทศที่ส่งออกทรัพยากรธรรมชาติ และสินค้าเกษตรเป็นหลัก มาเป็นประเทศที่ผลิตสินค้าอุตสาหกรรม เช่นสิ่งทอและการตัดเย็บเสื้อผ้าส่งออกเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนการส่งออกสินค้าเกษตร และการส่งออกแร่เชื้อเพลิง เช่น ก๊าซธรรมชาติ ก็ค่อย ๆ มีสัดส่วนลดลงตามลำดับ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการส่งออกนี้ ชี้ให้เห็นถึงพัฒนาทางเศรษฐกิจของเมียนมา ที่เริ่มเข้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรม

            ปัจจุบัน จุดแข็งของเมียนมา คือ ค่าจ้างแรงงานที่ถูกที่สุดในอาเซียน และสิทธิ GSP ที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติสามารถส่งออกสินค้าไปยังตลาด EU และสหรัฐ ฯ ได้ โดยไม่ต้องเสียภาษีเพิ่มเติม ทำให้ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเป็นหลักได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญ เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งที่มีค่าจ้างแรงงานไม่สูงนักในอาเซียน เช่น สปป.ลาว และกัมพูชา ประเทศเมียนมามีการปฏิรูประบบราชการ ให้เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจมากขึ้น เช่น การจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทผ่านช่องทางออนไลน์ และการลดค่าธรรมเนียมการจัดตั้งบริษัท จึงทำให้เมียนมาได้รับการจัดลำดับ Ease of Doing Business ให้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 

            โดยจากเดิมก่อนรัฐบาลของนางอองซาน ซูจี เมียนมาเคยอยู่ในลำดับที่ 177 แต่ในปีนี้ เมียนมาขึ้นมาอยู่ในลำดับที่ 165 ซึ่งสวนทางกับประเทศ สปป.ลาว และกัมพูชา ที่ได้รับการจัดลำดับให้แย่ลงในช่วงเวลาเดียวกัน 

            ดังนั้นหลังจากอองซาน ซูจี และพรรคเอ็นแอลดีคว้าชัยชนะเลือกตั้งสมัยที่ 2 ทิศทางการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในเมียนมาก็มีแนวโน้มดีขึ้น อานิสงค์ของสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ ฯ ทำให้จีนจะเข้ามาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น โดยส่วนใหญ่จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมมลฑลยูนนานกับมหาสมุทรอินเดียที่ชายฝั่งทะเลทางตะวันตกของเมียนมา เช่น โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง ซึ่งโครงการเหล่านี้จะเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการสร้างความมั่นคงทางพลังงานของจีน พร้อมทั้งเป็นประตูทางออกสินค้าจีนไปยังมหาสมุทรอินเดียได้อีกด้วย

            ส่วนประเทศพันธมิตรของชาติตะวันตกก็มีแนวโน้มจะมาลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอ เนื่องจากสหรัฐฯ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของเมียนมาที่มีต่อจีนเป็นอย่างดี จึงมีความเป็นไปได้สูงที่สหรัฐ ฯ จะไม่เพิกถอนสิทธิ GSP ของเมียนมาเพื่อคงความสัมพันธ์อันดีระหว่างสหรัฐฯกับเมียนมาเอาไว้ สิ่งเหล่านี้ จะส่งผลดีต่อศักยภาพในการแข่งขันของประเทศเมียนมา ทำให้สามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากประเทศพันธมิตรของชาติตะวันตกต่อไปได้ในอนาคต 

            อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทำให้อุตสาหกรรมสิ่งทอเกิดความชะงักงัน เนื่องจากเมียนมาต้องพึ่งพาการนำเข้าเส้นใยและผ้าผืนจากจีนมากถึง 90% จึงทำให้โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าในเมียนมาต้องปิดตัวลงเป็นจำนวนมาก มีผลทำให้การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมของเมียนมาหดตัวลงถึง 8.1% การปิดกิจการของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าในเมียนมาจะส่งผลให้การพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอในเมียนมาต้องหยุดชะงักลงในระยะสั้น (1-3 ปีข้างหน้า) แต่ปัจจัยนี้ไม่น่าส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศเมียนมา และการลงทุนของต่างชาติในอุตสาหกรรมสิ่งทอ และการตัดเย็บเสื้อผ้าก็จะฟื้นตัวได้ในอีกครั้ง ในระยะยาว

ข้อมูลอ้างอิง

https://www.bbc.com/thai/international-54820800

Continue Reading
Advertisement ad-02-doosoft.jpg
Click to comment

You must be logged in to post a comment Login

Leave a Reply

Advertisement QK6ZtN.png

Copyright © 2022 TOJO.NEWS

%d bloggers like this: