ยิงลูกเดียว คว้าตำแหน่งแชมป์ ไค ฮาแวทซ์ ซัดประตูชัยตั้งแต่ครึ่งแรก ช่วยให้ เชลซี ดับฝัน แมนฯซิตี้
คว้าถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก ประจำฤดูกาล 2021 ไปครองได้อีกสมัย
ที่สนาม เอสตาดิโอ โด ดราเกา,เมือง ปอร์โต้ ประเทศ โปรตุเกส มีแฟนบอลเข้าชมเกมส์ 14,110 คน
ศึกฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ เมื่อกลางดึกคืนวันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา
เป็นการพบกันของสองทีมจากพรีเมียร์ลีก ของอังกฤษ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์ พรีเมียร์ลีก
พบกับ เชลซี ทีมอันดับ 4 ของพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลล่าสุด
ทีม “เรือใบสีฟ้า” ผ่านเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศเป็นครั้งแรกของสโมสร มีโอกาสสร้างประวัตฺศาสตร์ คว้าทริปเปิลแชมป์ในฤดูกาลนี้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และคาราบาว คัพ มาครองได้แล้ว
โดยเกมส์ในนัดนี้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จัดทีมผู้เล่นชุดใหญ่ลงสนามบู๊กับเชลซี ส่งสามแนวรุกตัวจี๊ดอย่าง
ริยาด มาห์เรซ, ราฮีม สเตอร์ลิง และ ฟิล โฟเด้น ลงล่าประตู มี เควิน เดอ บรอยน์
คอยสร้างสรรค์เกมส์ในแดนกลาง
ส่วนทีม”สิงห์บลูส์” เป็นรองแชมป์ เอฟเอ คัพ ฤดูกาลล่าสุด นัดนี้ต้องการลุ้น แชมป์สมัยที่สอง ของสโมสร
หลังเคยทำได้สมัยแรกเมื่อปี 2012
โธมัส ทูเคิ่ล กุนซือของเชลซี ซึ่งเพิ่งเข้ามาคุมทีมได้เพียง 6 เดือน หวังจะพา “สิงห์บลูส์” ซิวแชมป์ให้ได้อีกครั้ง หลังจากฤดูกาลที่แล้ว พาทีม เปแอสเช เข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ ก่อนจะได้แค่รองแชมป์
เกมส์ในนัดนี้ส่งผู้เล่นที่ดีที่สุดลงสนาม เมสัน เม้าน์ท ทำเกมส์รุกร่วมกับ ไค ฮาแวทซ์
ส่วนติโม แวร์เนอร์ เป็นกองหน้าตัวเป้า
เริ่มต้นเกมส์ในครึ่งแรก เปิดฉาก ทีมสิงโตน้ำเงินคราม เชลซี ก็สร้างโอกาสบุกเข้าไปยิงทักทาย ทีม เรือใบสีฟ้า แมนฯซิตี้ ได้ตั้งแต่ 3 นาทีแรก โดยไค ฮาร์แวทซ์ จากการผ่านบอลของ ติโม แวร์เนอร์
หลังจากนั้น แมนฯซิตี้ก็ตั้งเกมส์บุกเข้าใส่ เชลซี บ้าง ในนาทีที่ 8 เอแดร์ซอน โมราเอส นายทวารของแมนฯซิตี้
เตะบอลยาวให้ ราฮีม สเตอร์ลิง จับบอลเลี้ยงเดี่ยวเข้าไปก่อนเผชิญหน้ากับ เอดูอาร์ เมนดี้ นายทวารของเชลซี
แบบตัวต่อตัว แต่จังหวะบอลไม่เป็นใจ ทำได้เพียงตอกส้น บอลติดตัว เมนดี้ นายทวารของเชลซี ออกหลังไป
ทั้งสองทีมเปิดเกมส์บุกเข้าใส่กันอย่างไม่มีใครเกรงใคร เกมส์ส่วนใหญ่สู้กันในแดนกลางสนาม
มีโอกาสเข้าไปสร้างความหวาดเสียวกันทั้งคู่ แต่ก็ยังไม่มีประตูเกิดขึ้น
เกมส์ผ่านไปถึงช่วง 5 นาทีสุดท้ายของครึ่งแรก ในนาทีที่ 42 เมสัน เมาท์ จ่ายบอลทะลุช่องให้ ไค ฮาแวทซ์ หลุดเดี่ยวเข้าไปในกรอบเขตโทษ เอแดร์ซอน พยายามเข้ามาตัดบอล แต่ก็พลาดเข้าผิดจังหวะ ฮาร์แวทซ์ แตะบอลหลบหนัตัวนายทวารชาวบราซิล ก่อนจะ บรรจงยิงด้วยเท้าซ้ายส่งลูกเข้าประตูไปแบบเลือดเย็น
เป็นประตูแรกในรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ของนักเตะทีมชาติเยอรมันในฤดูกาลนี้
ทำให้เมื่อจบครึ่งแรก แมนเชสเตอร์ซิตี้ ตามหลัง เชลซี อยู่ 0-1
เริ่มต้นเกมส์ในครึ่งหลัง ทั้งสองทีมก็ยังทำเกมส์ที่ตัวเองถนัด แมนฯซิตี้ เปิดเกมส์บุกเข้าใส่ ในขณะที่เชลซีก็ตั้งเกมส์รับอย่างเหนียวแน่นรอจังหวะสวนกลับ
นาทีที่ 55 แมนฯซิตี้ต้องเสียจอมทัพอย่าง เควิน เดอ บรอยน์ เพราะได้รับบาดเจ็บไม่สามารถเล่นต่อได้
แมนฯซิตี้ส่งเกเบรียล เชซุส ลงมาเล่นแทน แมนฯซิตี้ยังคงเดินหน้าบุกอย่างต่อเนื่อง
นาทีที่ 60 ราฮีม สเตอร์ลิง ได้โอกาสยิงในกรอบเขตโทษ บอลไปติด รีซ เจมส์ ออกไป
สเตอร์ลิง ฟ้องผู้ตัดสินว่าเป็นลูกแฮนด์บอล กรรมการตรวจสอบจาก วีเออาร์ แล้ว
บอลโดนหน้าอก เจมส์ ไม่ได้โดนแขน
กุนซือของแมนฯซิตี้ แก้เกมส์โดนการเปลี่ยนตัวสำรองลงมาเล่น หวังความสดใหม่มาช่วยทำเกมส์บุก รวมถึงส่ง กุน อเกวโร่ ลงมาช่วยล่าตาข่าย โดยเกมส์ในนัดนี้จะเป็นนัดสุดท้าย ของศูนย์หน้าจากอาร์เจนติน่า
ในการลงเล่นให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หลังจากรับใช้สโมสรมาอย่างยาวนาน
ในขณะที่ เชลซี ก็เปลี่ยนตัว เอากองหลังมาช่วยเกมส์รับ พยายามรักษาประตูที่ขึ้นนำให้ดีที่สุด
เมื่อทั้งสองทีมเล่นกันจนหมดเวลาการแข่งขัน ก็ไม่มีประตูเกิดขึ้นอีก
ทำให้เมื่อจบเกมส์ เชลซี เฉือนเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปหวุดหวิด 1-0
ผงาดคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เป็นสมัยที่ 2
หลังจากก่อนหน้านี้เคยคว้าแชมป์ได้ในปี 2012
ส่วนทีม “เรือใบสีฟ้า” ก็ อกหัก ชวดแชมป์
หลังจากที่ได้มีโอกาสเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศได้เป็นสมัยแรก
ไม่สามารถสร้างประวัติศาสตร์นำทีมคว้าสามแชมป์ ในฤดูกาลนี้ ได้ดังที่หวัง
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
แมนฯ ซิตี้ (4-3-3) ผู้จัดการทีม เป๊ป กวาร์ดิโอล่า : เอแดร์ซอน โมราเอส – ไคล์ วอล์คเกอร์, รูเบน ดิอ๊าส, จอห์น สโตนส์, โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ – เควิน เดอ บรอยน์ (กาเบรียล เชซุส น.60), อิลคาย กุนโดกัน, แบร์นาร์โด้ ซิลวา (แฟร์นันดินโญ่ น.64) – ริยาด มาห์เรซ, ราฮีม สเตอร์ลิง (เซร์คิโอ อเกวโร่ “กุน” น.77), ฟิล โฟเด้น
เชลซี (3-4-2-1) ผู้จัดการทีม โธมัส ทูเคิ่ล : เอดูอาร์ เมนดี้ – รีซ เจมส์, ติอาโก้ ซิลวา (อันเดรียส คริสเตนเซ่น น.39), อันโตนิโอ รือดิเกอร์ – เซซ่าร์ อัซปิลิกวยต้า, จอร์จินโญ่, เอ็นโกโล่ ก็องเต้, เบน ชิลเวลล์ – เมสัน เม้าท์
(มาเตโอ โควาซิช น.80), ไค ฮาแวทซ์ – ติโม แวร์เนอร์ (คริสเตียน พูลิซิช น.66)
ผู้ตัดสินในสนาม : อันโตนิโอ มาเตว ลาออซ (สเปน)
You must be logged in to post a comment Login