เมื่อช่วงสายของวันที่ 28 มีนาคม 2566 ณ ห้องประชุม Convention Hall โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ บางกอก คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ งาน “วิสัยทัศน์การขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมไทย” จัดโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายสุพันธุ์ มงคลสุธี รองหัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย และ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจพรรคไทยสร้างไทย เข้าร่วมเสวนา โดยตั้งเป้าให้ GDP ของ SMEs โตถึง 50% ภายใน 3 ปี
นายสุพันธุ์ ระบุว่า ในอดีตจากการที่ได้ทำงานในสภาอุตสาหกรรมกว่า 20 ปี ตนเจออุปสรรคในการทำมาหากินโดยเฉพาะจากระบบและกฎระเบียบและการออกใบอนุญาตต่างๆ โดยจากการศึกษาพบว่ามีกฎหมายกว่า 1400 ฉบับที่เป็นอุปสรรคต่อการทำมาหากินเช่นกฎระเบียบของอย. หรือ พรบ.โรงแรมต่างๆ
นอกจากนี้อีกปัญหาหนึ่งคือปัญหาด้านการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยพรรคไทยสร้างตั้งเป้าจะเพิ่มวงเงินค้ำประกันของ บสย. ให้ถึง 60% และจะตั้งกองทุน SMEs เพื่อสนับสนุนธุรกิจในประเภทต่างๆ ทั้งสตาร์ทอัพ วิสาหกิจชุมชน และจะตั้งกองทุนนวัตกรรมขึ้นมาพื่อสนับสนุนและส่งเสริมนวัตกรรมให้กับ SMEs
ในประเด็นต่อมาคือการสร้างแต้มต่อให้ SMEs โดยต้องให้แต้มต่อกับบริษัทของคนไทย ที่ไม่ใช่แค่บริษัทไทย ต้องให้ BOI ตั้งแต่ขนาดแล็กจนถึงขนาดกลางเพิ่มขึ้น และต้องตั้งคลัสเตอร์ให้กับ SMEs หลายประเภท เช่นคลัสเตอร์เครื่องสำอางค์ คลัสเตอร์อาหาร โดยตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา รวมถึงศูนย์ที่จะช่วยในการจดทะเบียนขึ้นทะเบียนใบอนุญาติต่างๆในที่เดียว และต้องปรับตัวชี้วัด ให้ GDP ของ SMEs โตขึ้นให้ถึง 50% ในสามปี
นายสุพันธุ์เสนอต่อว่า ปัจจุบัน ทุกคนพยายามจะมองถึงเทคโนโลยีใหม่ พูดถึงโลกดิจิตัลมากขึ้น
สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งจำเป็นและต้องตามให้ทันก็จริง
แต่ประเทศไทยเอง เป็นปะเทศที่มีสิ่งที่ถนัดและมีรากฐานที่ดีอยู่แล้ว คือด้านการท่องเที่ยว ด้านเกษตรและอาหาร รวมถึงด้านสุขภาพและ ไลฟ์สตไล์ สิ่งที่จะต้องทำคือพัฒนาธุรกิจเหล่านี้เพิ่มเติม เช่นนำเทคโนโลยีมาใช้ทางการเกษตรมากขึ้น การแก้ปัญหาชลประทานทั้งระบบ ด้านการท่องเที่ยวต้องมีแพลตฟอร์มด้านการท่องเที่ยวเป็นของตัวเองเพื่อให้ได้ราคาดีที่สุดและผู้ประกอบการไม่ต้องเสียค่าส่วนต่างจำนวนมากให้กับแพลตฟอร์มต่างประเทศ และ ด้านสุขภาพสุขภาวะเช่นการดันให้ไทยเป็น Medical hub และเป็นแหล่งพักรักษาตัวระยะยาว และปัญหาใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ไขคือการปรับโครงสร้างค่าไฟ เพราะค่าไฟเป็นต้นทุนของทุกอย่าง ทั้งการใช้ชีวิต และ ต้นทุนการผลิต ถ้ามีค่าไฟที่ถูกลงจะทำให้ทุกคนเหลือเงินในกระเป๋ามากขึ้น
ในคำถามเรื่อง การส่งเสริม BCG ให้เป็นรูปธรรมนั้น นายสุพันธุ์ให้ความเห็นว่า การทำ BCG ต้องให้ภาครัฐและเอกชนทำร่วมกัน รัฐจะต้องเป็นเจ้าภาพ เพราะต้นทุนในการทำนั้นถือว่าสูง รัฐต้องส่งเสริมต้องมีกองทุนที่ไปสนับสนุน
ในประเด็นสุดท้ายเรื่องการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นนายสุพันธุ์มองว่า ต้องเริ่มจากผู้นำ และมากกว่านั้นคือการแขวนกฎหมายที่เป็นอุปสรรคเพราะเป็นช่องทางในการทุจริตคอร์รัปชั่นเช่นการออกใบอนุญาตต่างๆที่ต้องจ่ายใต้โต๊ะ การแขวนกฎหมายจะช่วยลดการทุจริตลงไป และอีกส่วนหนึ่งคือการทำให้โปร่งใสทั้งในภาคธุรกิจ และ ภาครัฐ โดยภาคธุรกิจต้องมีการส่งเสริมให้ใช้ระบบบัญชีเดียวอย่างจริงจังมากขึ้น และ ในภาครัฐ การจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ ต้องสามารถดูได้ผ่านระบบออนไลน์เพื่อที่จะให้ประชาชนสามารถตรวจสอบได้