จตุพร ชี้ คณะคุมดีลเริ่มเด็ดขาดกับทักษิณ ส่วนฝ่ายการเมืองดิ้นสู้ วิ่งเจรจาขอสลัดเศรษฐาพ้นนายกฯ ก่อนศาล รธน.ตัดสิน พร้อมขอเลื่อนฟ้องคดี 112 จาก 29 พ.ค.นี้เช่นกัน
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ว่า คณะควบคุมดีลต้องแสดงความกล้า มีจุดยืนแข็งแกร่ง ไม่พลิ้วไหวตามลมลวงการเจรจาขอดีลใหม่ของทักษิณ ชินวัตร โดยพยายามยื่นเงื่อนไขสลัดนายเศรษฐา ทวีสิน ให้พ้นนายกฯ เพื่อเอาตัวเองรอดจากคดี ม.112 ซึ่งอัยการนัดฟังคำสั่งฟ้องหรือไม่ในวันที่
“ทักษิณกลับมาไทยมีเจตนาอะไรแอบแฝง ที่บอกขออนุญาตกลับมาเลี้ยงหลานเพื่ออะไร ขอกับใคร และทำอย่างนั้นจริงหรือไม่ แต่สิ่งสำคัญคือ การกลับมาด้วยอาศัยอำนาจเก่ากับอำนาจใหม่สมคบคิดกันฮั้วอำนาจ เพราะถ้า พล.อ.ประยุทธ์ (จันทร์โอชา) ไม่ยอมหรือสมคบคิดด้วย ทักษิณก็กลับไม่ได้ ซึ่งไม่แตกต่างกันกับ พล.อ.ประยุทธ์ จะยึดอำนาจได้ยากยิ่งขึ้นเมื่อ 22 พ.ค. 57 ถ้าทางทักษิณไม่สมยอมเอาคนออกจากที่ชุมนุม”
อีกทั้งกล่าวว่า ส่วนยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อใกล้วันฟังคำพิพากษาคดีจำนำข้าว ต้องถูกคณะยึดอำนาจประกบติด แทบไม่มีทางหนีออกนอกประเทศได้เลย ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ยินยอมให้ออกไปเช่นกัน เมื่อย้อนหลังตรวจสอบกันเช่นนี้จึงเห็นว่า ทุกอย่างเป็นเรื่องเดียวกันหมด
“กรณี 152 สว.ยกมือให้นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ คือคำตอบ อีกอย่างถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ยืนกรานไม่เอาพรรคเพื่อไทย แล้วพรรคร่วมรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ พรรคใดจะกล้าไปร่วมมือตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย และถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ยินยอมแล้ว วันที่ 22 ส.ค. 66 ทักษิณจะไป รพ.ตำรวจได้เหรอ ดังนั้น สิ่งเหล่านี้จึงเป็นคำตอบของการร่วมมือสมคบคิดอย่างต่อเนื่องกัน เพียงแต่รู้สึกรู้สากับความเสียหายของบ้านเมืองแล้วหรือยัง”
นายจตุพร กล่าวว่า การสมคบคิดร่วมมือกันได้ทำลายกระบวนการยุติธรรม อีกทั้งความไม่เสมอภาคทางยุติธรรมปรากฎขึ้นอย่างรุนแรง และที่สำคัญยังฝ่าฝืนและทำลายความน่าเชื่อพระบรมราชโองการ แล้วยังจะใช้ดิจิทัลวอลเล็ตมาทำลายเศรษฐกิจชาติ และแอบใช้แลนด์บริดจ์มาแบ่งขายที่ดินไทยให้ต่างชาติครอบครอง 99 ปี สิ่งเหล่านี้ สมคบคิดอะไรกันอยู่หรือไม่?
อีกทั้งกล่าวว่า ศาล รธน.รับคำร้องตรวจสอบนายเศรษฐาด้วยมติ 6 ต่อ 3 กรณีคุณสมบัตินายกฯ ขัดจริยธรรมและความซื่อสัตย์ ตาม รธน. ม.160 (4) และ (5) ซึ่งความจริงเรื่องนี้ไม่ได้เป็นหัวใจหลัก เพราะแก่นการตรวจสอบอยู่ที่วันที่ 29 พ.ค.นี้ที่ทักษิณ จะถูกอัยการฟ้องหรือไม่ในคดี ม.112
ดังนั้น เรื่องราวที่ปรากฎมาตลอดช่วงทักษิณกลับไทยนั้น ได้สร้างความเหลื่อมล้ำขึ้นในสังคมอย่างเด่น จนก่ออารมณ์ประชาชนไม่พอใจในความไม่ซื่อสัตย์เหมือนการลุกฮือขึ้นใน พ.ค. 2535 อย่างไรก็ตาม เมื่อคดี ม.112 ถูกวางไว้ให้เป็นเครื่องมือควบคุมดีล แต่ด้วยความไร้น้ำยาของคณะดีลจึงเลื่อนฟ้องคดีจาก 10 เม.ย.มาเป็น 29 พ.ค.นี้
นายจตุพร ประเมินว่า ถ้าคณะดีลมีคนจริงแล้ว สิ่งที่ได้ยินมา คือ ทักษิณ พยายามเจรจาขอให้เลื่อนส่งฟ้องศาลคดี ม.112 ออกไปจนถึงวันศาล รธน.ตัดสินคำร้องนายเศรษฐา พร้อมกับช่วงเวลาเดียวกันนี้ ก็ยื่นแลกเปลี่ยนให้นายเศรษฐาออกจากนายกฯ ก่อนวันที่ศาล รธน.จะตัดสินคำร้องเช่นกัน
พร้อมกล่าวย้ำว่า แต่ที่ฟังมาว่า ฝังคณะคุมดีลยังยืนแข็งให้นายเศรษฐาลาออกก่อนวันที่ 29 พ.ค. และจะยังสั่งฟ้องทักษิณคดี 112 ตามเดิม แต่จะได้รับสิทธิประกันตัว หากเศรษฐาไม่ลาออกก่อน 29 พ.ค.นี้ ทักษิณจะถูกสั่งฟ้องคดีและไม่ได้ประกันตัว ดังนั้นต้องกลับไปติดคุกจริงๆ แต่สิ่งที่ได้ยินมาเช่นนี้ จึงไม่รู้ว่า คณะควบคุมดีลไม่รู้จะมีคนจริงหรือเปล่า
“หลังจากศาล รธน.รับคำร้องเมื่อ 23 พ.ค.ที่ผ่านมา ทำให้สถานการณ์บ้านป่ารอยต่อที่เงียบเหงามานานกลับมาคึกคัก หรือจะถูกหลอกอีกรอบในช่วงอายุมากขึ้น และอาจเคยเกาะโต๊ะขอเขา แล้วถ้าเขามาเกาะโต๊ะขอคืนบ้างจะว่าอย่างไร”
นายจตุพร กล่าวว่า การเมืองไทยไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับประชาชนจริงจังเลย ล้วนเป็นเรื่องเชิงอำนาจทั้งสิ้น ดังนั้น เราจึงห่วงใยบ้านเมืองอย่างจริงจัง เพราะต้องเจอทั้งศึกนอกและศึกใน ยิ่งศึกในจะทำให้ประเทศพังเสียก่อน ซึ่งสถานการณ์เปราะบางในช่วงขณะนี้จะทำให้ศึกนอกเข้ามาพังบ้านเมืองให้เละเทะได้ง่ายยิ่งขึ้นไปอีก
รวมทั้งย้ำว่า ถ้าฝ่ายควบคุมดีลกล้าเด็ดขาด แล้วยืนอย่างตัวตรงมั่นคงกับคำขาดให้ฝ่ายขอกลับบ้านทำตามดีลแล้ว การเจรจาต่อรองย่อมไม่เกิดผลใดๆทั้งสิ้น และประเทศจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน แต่ประเทศไทยหาคนจริงยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการทำข้อตกลงกัน แล้วมีคนไม่ทำตามข้อตกลงจนเกิดความเสียหายต้องมีคนรับผิดชอบ และวันนี้มีความเสียหายเกิดขึ้น จะรับผิดชอบกันอย่างไร ถ้าเป็นคนจริง มีจุดยืนแข็งแรงเด็ดขาดจริง ในวันที่ 29 พ.ค.นี้ ทุกอย่างก็จบ
นายจตุพร กล่าวว่า ส่วนการอ้างไฟเขียวให้กลับบ้านนั้น ทำให้เกิดความเสียหายขยายไปทุกแวดวง และไม่สามารถพิสูจนืได้ว่า มีไฟเขียวจริง แต่กลับทำให้ฝ่ายการเมืองเพ่นพ่านลักไก่ใหญ่โต จึงเป็นที่มาของ 40 สว.ยื่นคำร้องเพื่อพิสูจน์ไฟเขียว
“ขณะนี้ (วันที่ 25 พ.ค.) ยังได้ยินคำยืนยันของฝ่ายควบคุมดีลว่า ถ้าเศรษฐาไม่ลาออกก่อนวันที่ 29 พ.ค.นี้ ทักษิณถูกสั่งฟ้อง จับขังคุก ไม่ได้ประกันตัว เหมือนกับการยืนแข็งแรงเด็ดขาดราวกับทวงหนี้ข้อตกลงให้เป็นไปตามดีล อย่างไรก็ตาม ผู้มีอำนาจในบ้านนี้สามารถพลิกเปลี่ยนได้เป็นนาทีๆ จึงต้องติดตามกันจนถึงวันที่ 29 พ.ค.นี้”
พร้อมทั้งกล่าวว่า กรณีนายเศรษฐา เป็นนายกฯ นั้น เป็นไปตามข้อตกลงให้เป็นได้นานกี่เดือน เพื่อแลกกับยิ่งลักษณ์ได้กลับไทย ดังนั้น ถัดจากนี้ไปจะเห็นทักษิณ ที่มีจุดยืนรักตัวเอง ไม่ยอมติดคุกเด็ดขาดจะตัดสินใจแผลงๆ อะไรขึ้น หรืออาจมีคนไปเจรจากับบ้านป่ารอยต่อแล้วก็ได้ เพราะคงคิดว่า จะเป็นทางรอดได้อีกทางหนึ่ง
“ผมไม่ได้ปรารถนาดีด้วย จึงขอเตือนคนบ้านป่ารอยต่อให้คิดดีๆ เพราะสถานการณ์ข้างหน้าอาจจะถูกหลอกซ้ำ แล้วทำให้บ้านเมืองเสียหายไปใหญ่โต และประเทศจะเดินมาถึงจุดอับอีก ดังนั้น จากนี้ไปต้องประเมินกันแบบวันต่อวัน จนกว่าจะถึงวันที่ 29 พ.ค.นี้ เพราะยังมีการขอเจรจาเพื่อให้ตัวเองรอดเท่านั้น”
ส่วนทักษิณ ไปโคราชเมื่อ 25 พ.ค.นี้ มีตำรวจคุมกัน 300 นายและพวกสนับสนุนระดมคนรอรับ ขณะที่ฝ่ายต่อต้านคอยประท้วง นายจตุพร กล่าวว่า เหมือนสถานการณ์ก่อนการยึดอำนาจที่พวกเชียร์ตะโกนให้สู้ๆ แต่ฝ่ายต้านไล่ออกไป ดังนั้น อาจทำให้การเผชิญหน้าจะหวนมาอีกรอบหนึ่ง แล้วชนวนสู่การล้มลุกคลุกคลานของประเทศจะกลับมาด้วยเช่นกัน