Politics
ส.ว.กำลัง…แสดงละคร !!
Published
2 ปี agoon
By
Admin Tojoจตุพร ชี้ ส.ว. จะแสดงละครโดยการกำกับโหวตให้พิธา เป็นนายกฯ แต่จำนวนตัวเลขไม่ให้ถึง 376 เสียงอยู่ดี
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “หายนะ?” โดยเชื่อมั่นว่า ทุกสถานการณ์การตั้งรัฐบาล 8 พรรคทำเอ็มโอยูหนุนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกฯ หรือพรรคเพื่อไทยแปลงร่างมารให้เป็นเทพมาจับมืออีกขั้วตั้งรัฐบาลแทนที่ ล้วนเป็นหายนะของประเทศ ดังนั้น ทุกทางเลือกจึงเดินมาถึงทางตัน สิ้นทางสงบสุขเป็นทางออก
นายจตุพร กล่าวว่า เอ็มโอยู (MOU) การร่วมรัฐบาลของ 8 พรรคการเมืองนั้น ดูเหมือนพรรคก้าวไกลถอยสุดซอย โดยไม่บรรจุการแก้ไข ม.112 การออกกฎหมายนิรโทษกรรม สุราก้าวหน้า สมรสเท่าเทียม อยู่ในเอ็มโอยูด้วย เพื่อลดแรงเสียดทานขัดขวางไปเป็นนายกฯ คนที่ 30
อีกอย่างการกำหนดเวลาประกาศเอ็มโอยู ยังกำหนดในวันที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นำทหารยึดอำนาจเมื่อ 22 พ.ค. 2557 นอกจากนี้ยังเกิดปรากฎการณ์ข่าวลือฮ่องกงและหนึ่งในพรรคร่วม 8 พรรคไปพบกับคณะ 3 ป.คนหนึ่งที่กัมพูชา สิ่งเหล่านี้จึงเป็นความพยายามแปลงร่างเทพให้เป็นมาร หรือมารกลายร่างเป็นเทพ ซึ่งเป็นละครอีกฉากแสดงหลอกขย่มพรรคก้าวไกล
นายจตุพร มั่นใจว่า เสียง ส.ว. มีแนวโน้มงดออกเสียงกับการเลือกนายกฯ ดังนั้น เสียงคงไม่ถึง 376 เสียงจากทั้งหมด 750 คนของการประชุมร่วมรัฐสภา ไม่เพียงเท่านั้น ถัดจากนี้ไป ส.ว. จะแสดงละครโดยการกำกับโหวตให้นายพิธา เป็นนายกฯ ทยอยออกมาเป็นลำดับ แต่ถูกควบคุมจำนวนตัวเลขไม่ให้ถึง 376 เสียงอยู่ดี
อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุแห่งเกมและการแสดงละครการเมืองของทุกฝ่ายนั้น ประเมินถึงชะตากรรมของนายพิธา จะไปไม่ถึงนายกฯ ขณะที่ ส.ว.บางส่วน ก็ลวงทิศ จะออกมาให้ข่าวราวกับหยอดน้ำข้าวต้มโหวตให้นายพิธา เพื่อเป็นการสร้างความหวังลมๆ แล้งๆ ตามบทละครที่ผู้สั่งการคอยกำหนดบทให้เล่น
นายจตุพร เชื่อว่า ทั้งข่าวการเจรจาตั้งรัฐบาลระหว่างเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทยที่ฮองกง แม้ทุกคนเกี่ยวข้องออกมาปฏิเสธอย่างร้อนรน แต่ปรากฎการณ์นี้พรรคก้าวไกลย่อมรู้เช่นกันว่า กำลังจะถูกอะไรย้อนรอยมาหลอนชิงการจัดตั้งรัฐบาล อีกทั้ง 3 ป.คนหนึ่งไปกัมพูชา พร้อมมีพรรคการเมืองหนึ่งไปคุยกันที่นั้น ล้วนเป็นการปั่นความหวาดระแวงให้พรรคก้าวไกลหวั่นไหวทั้งสิ้น
รวมทั้งปรากฎการณ์เหล่านั้น คงมีส่วนให้พรรคก้าวไกลรอมชอมลดเงื่อนไขเอ็มโอยูลง ดังนั้น วิกฤตศรัทธาจะเกิดกับพรรคก้าวไกล เพราะการแถลงเอ็มโอยูที่กำลังถอยสุดซอยเท่ากับเป็นการสละอุดมการณ์เพื่อแลกกับอำนาจนายกฯ ซึ่งเป็นการแลกเพื่อทำลายตัวเอง แล้วยังไม่ได้เป็นนายกฯ อีกเสียด้วย
“ถ้าใครคิดว่า พรรคก้าวไกลแลกอุดมการณ์ของตัวเองแล้ว นายพิธา ยังได้เป็นนายกฯ ต้องไปเรียนหนังสือชั้นอนุบาลหรือ ป.1 เรื่องการนับตัวเลขกันใหม่ในการบวกลบ คูณหาร เพราะเสียงโหวตนายกฯ จะไม่ถึง 376 เสียงค่อนข้างชัดเจน”
ส่วนเพื่อไทยยื่นไม้ตายในตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรนั้น นายจตุพร กล่าวว่า เพราะรู้นายพิธา เป็นแคนดิเดตนายฯ คนเดียวของพรรคก้าวไกล และยังมีการตรวจสอบการถือหุ้นสื่อมวลชนด้วย ซึ่งส่อรอดจากคุณสมบัติขัดกับการลงสมัคร ส.ส.ได้ยาก ดังนั้น พรรคเพื่อไทยจึงมองไกลไปว่า ประธานสภาฯ จะอยู่ในมือ และแคนดิเดตนายกฯ ก็จะอยู่ในมือ และเชื่อพรรคก้าวไกลจะเกิดความพินาศย่อยยับ
นายจตุพร คาดว่า พรรคเพื่อไทยอาจถูกยุบพรรคมาแรงแซงทางโค้งกว่าคุณสมบัติของนายพิธา ตลอดจนการคิดหนทางสู้อำนาจการเมืองจึงเป็นระเบิดเวลาทำลายตัวเองทั้งสิ้น แม้โชว์เหนือต้องการอำนาจมาอยู่กับตัวเอง จึงเกิดความหวาดระแวงกันขึ้น ดังนั้น ทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยจึงกลายเป็นการโชว์ความหายนะมากกว่าการโชว์เหนือกว่พรรคก้าวไกล
“ถ้าสมการไปตามข่าวลือแล้ว พรรคก้าวไกลอาจถูกทิ้งให้เป็นฝ่ายค้าน แล้วที่เหลือจะไปจับมือจัดดุลอำนาจตั้งรัฐบาลกันใหม่ ใครคิดว่าบ้านเมืองจะจัดกันอย่างง่ายดายนั้นจะไม่ง่ายตามที่คิดเลย เพราะความรู้สึกที่สั่งสมกันมาจะรอวันระเบิดขึ้น ยิ่งเมื่อจะมีชุมนุมกันพรุ่งนี้ (23 พ.ค.) เพื่อกดดัน ส.ว. ก็อาจมี ส.ว.พูดเอาใจโหวตให้นายพิธา แต่รวมความแล้วจะไม่ถึง 376 เสียงอยู่ดี”
นายจตุพร กล่าวว่า ความขัดแย้งจะเกิดขึ้นคือ ถ้าเกิดเหตุการณ์ตั้งรัฐบาลแข่งกันแล้ว พรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทย จะมองหน้ากันไม่ติด มวลชนจะมีปัญหาตามมา ส่วน ส.ว.จะแสดงบทบาทความรู้สึกเอาใจรัฐบาล นอกจากนี้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะลงดาบฟันพรรคการเมืองด้วยการยุบพรรค การรับรอง ส.ส. พร้อมสอยไปด้วย
อีกทั้งให้จับตา กกต. ชี้ขาดข้อหาการถือหุ้นสื่อมวลชน ที่จะกดดันให้นายพิธา ต้องหยุดปฎิบัติหน้าที่เป็นแคนดิเดตนายกฯ แล้วตามด้วยยุบพรรคเพื่อไทย ดังนั้น การเมืองจะไม่มีความสมหวัง แต่จะมีคำตอบสุดท้ายคือ เลือดที่ไม่ต้องการให้เกิดการนองพื้นกันอีกแล้ว
“เดินมาถึงจุดหนึ่งต้องยอมรับความจริงว่า 8 พรรคจะตั้งรัฐบาลไม่ได้ ถ้าไม่ยอมรับความจริงนี้แล้ว จะไปยากมาก แม้อีกฝ่ายหนึ่งจะเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลโดยการย้ายขั้วเปลี่ยนข้างจาก 8 พรรค แต่จะพังพินาศกันไปหมด”
นายจตุพร กล่าวว่า มีการเสนอแนวทางยื้อเวลาให้ ส.ว.หมดวาระ แต่ยังมี กกต.กับศาล รธน. คอยเป็นกับดักขวางทางตั้งรัฐบาลอยู่ จึงยากที่จะให้การยื้อถ่วงเวลา ส.ว.หมดวาระได้ นอกจากนี้การเสนอให้พลังกดดันลงถนนคงมีแต่ความฮึกเหิม แต่จะถูกการตอบโต้ให้เกิดความขัดแย้งขึ้น เพื่อเป็นการทำลายความชอบธรรมให้พังกันไปเป็นทิวแถวอีกเหมือนเดิม
“ความจริงบทเรียนนี้อธิบายกันหลายอย่างแต่ทุกคนไม่สนใจ ถ้าเอาประเทศไทยมาก่อนก็ไปได้ แต่กลับเอาตัวเองมาก่อนประเทศไทย เมื่อต้องการเลือกนับหนึ่งของตัวเอง ดังนั้น เรียกร้องให้เสียสละจะเป็นเรื่องยากมาก เพราะทุกคนเห็นแก่ตัวเองทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม ในโลกความเป็นจริงไปไม่ถึง 376 และนายพิธา จะเจอข้อหาคุณสมบัติ แล้วคดีการยุบพรรคตามมาอีก”
นายจตุพร เชื่อว่า สถานการณ์ขณะนี้เข้าสู่ทางตัน แม้ยังมีการเคลื่อนไหวตั้งรัฐบาลได้อยู่ เพราะอยู่เป็นช่วงเวลา 2 เดือนที่ กกต.ทำหน้าที่รับรอง ส.ส. ขณะเดียวกัน หากเกิดการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ยิ่งเกิดหายนะอย่างแรง การย้ายขั้วไปจับมือกับซีกรัฐบาลเดิมก็พังเหมือนกัน ถ้าพรรคเพื่อไทยไปด้วยการแปลงร่างจากการยุบตัวเอง โยกเข้ามาก็ได้ แบบไหนก็พินาศเหมือนกัน
“ส.ว.คนหนึ่งบอกจะยกมือให้นายพิธาเท่านั้น มันไม่มีเหตุผล เพราะเขามีจุดยืนอยู่อีกซีกชัดเจน และลูกก็ลง ส.ส.อีกพรรคหนึ่งด้วย สิ่งนี้เป็นคำพูดอาบยาพิษ เพราะรู้ปลายทางว่านายพิธาไปไม่ถึงนายกฯ แล้ว เพราะเห็นข้อมูลหมด จึงพูดออกมาแบบน้ำกรดแช่เย็น อีกฝ่ายก็ขอบคุณตอบรับทันที”
นายจตุพร ย้ำว่า นายพิธา จะไม่มีวันได้รับเลือกให้เป็นนายกฯ และพรรคเพื่อไทยก็ยังไม่ย้ายขั้วไปก่อน ถึงที่สุดต้องดูปรากฎการณ์ปลายเดือนนี้หรือต้นเดือนหน้า พรรคเพื่อไทยอาจจะถูกยุบพรรคก็ได้ ดังนั้น การเมืองถ้าคิดข้างเดียวจะสวยงามมาก ไม่มีคำถามแย้งเลยว่า อีกฝ่ายจะคิดอย่างไร โดยไม่คำนึงว่า ความจริงคืออะไร และวิกฤตกำลังจะก่อตัวกันอยู่
อย่างไรก็ตาม ถ้าพรรคหนึ่งใน 8 พรรคกำลังไปดีลตั้งรัฐบาลกับอีกขั้วหนึ่งนั้น ทั้งปรากฎการณ์ฮ่องกงหรือหารือที่กัมพูชา ล้วนเป็นสิ่งทำให้เกิดความหวาดระแวงในฝ่ายพรรคประชาธิปไตยเดียวกัน และการร่วมตัวกัน 313 เสียงห่างไกลกับ 376 เท่าไร ดังนั้น การทำท่าจับมือกัน เป็นเพียงละครแสดงบทร่วมกันไปก่อนเท่านั้น
“เมื่อเหตุผลให้พรรคก้าวไกลเข้าสู่อำนาจได้ แต่ยอมสละแนวทาง อุดมคติ อุดมการณ์ของตัวเองที่ได้ประกาศจนได้รับเลือกตั้ง หากนายพิธา เป็นนายกฯ แล้วเสนอแก้ ม.112 หรือออกกฎหมายนิรโทษกรรมแล้ว พรรคก้าวไกลก็ต้องลงนามด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นความหวาดระแวงของกลุ่ม ส.ว.ที่ตั้งแรงค้านอยู่ดี”
#เพื่อไม่ให้พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS