ชัชชาติ” ย้ำจุดเปลี่ยน กทม. ศักยภาพของเมืองขึ้นอยู่กับคน ให้ ปชช. ร่วมหาคำตอบ สร้างความโปร่งใส
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวในงานสัมมนา “ESG Forum จุดเปลี่ยนเศรษฐกิจไทย” ในหัวข้อ “สร้างศักยภาพใหม่ให้เป็นจริง” จัดโดยหนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ ว่า การพัฒนาศักยภาพให้กรุงเทพฯ มีศักยภาพทัดเทียมมหานครของโลกอื่นๆ ของโลก ต้องเริ่มจากการให้ประชาชนมีส่วนร่วม และใช้ความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขามาเป็นคำตอบในการพัฒนาเมือง จะช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงได้
สอดคล้องกับที่ วิลเลียม เชกสเปียร์ เคยกล่าวไว้ว่า What is the city but the people? ซึ่งหมายถึง เมืองไม่มีทางดีกว่าคนที่อยู่ในเมืองนั้นได้ ศักยภาพที่แท้จริงของกรุงเทพฯ คือ คน ไม่มีทางที่เมืองจะประสบความสำเร็จได้โดยไม่มีคนเก่งอยู่ในเมือง ถ้าคนเก่งออกจากเมืองไปหมด เราจะตายแน่นอน ดังนั้น เราต้องสร้างแรงบรรดาลใจให้คน ผมเชื่อว่าคนมีพลังมหาศาลที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กรุงเทพฯ แต่มีอุปสรรคที่ทำให้ไม่สามารถเจียรนัยคนได้ เช่น เรื่องการกระจายอำนาจ ซึ่งที่ผ่านมารัฐยังหวงอำนาจ ไม่ให้ประชาชนมีอำนาจตัดสินใจ การมีส่วนร่วมของประชาชน และการใช้ความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขามาเป็นคำตอบพัฒนากรุงเทพฯ
ที่ผ่านมาคนกับรัฐยังต่างฝ่ายต่างไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน หลายครั้งเราพูดถึงอนาคต แต่มักลืมว่าปัจุบันอยู่ที่ไหน ซึ่งการจะเดินหน้าพัฒนาสิ่งใดต้องดูปัจจุบันก่อน การจะวางแผนพัฒนาเมืองก็ต้องรู้ว่าเราอยู่ที่ไหน และต้องยอมรับความจริงว่า เราดีหรือชั่วอย่างไร ถึงจะแก้ไขปัญหาได้ นายชัชชาติ กล่าวด้วยว่า ประเทศไทยติดอันดับน่าท่องเที่ยวอันดับ 1 แต่กลับเป็นประเทศที่น่าอยู่อันดับ 98 ของโลก เพราะคนมาเที่ยวแล้วสนุก แต่การอยู่ใช้ชีวิตจริงคนต้องเหนื่อยกับปัญหารถติดและมลพิษ
ซึ่งตนอยากให้เราตั้งเป้าพัฒนาประเทศให้เป็นเมืองที่น่าอยู่อันดับที่ 50 ให้ได้ การจะทำได้มองว่า ทั้งหมดมันเกี่ยวกับ ESG โดยกรุงเทพฯ เรามีนโยบาย 9 ด้านที่สอดคล้องกับเรื่องนี้ คือ สิ่งแวดล้อมดี สุขภาพดี เดินทางดี ปลอดภัยดี บริหารจัดการดี โครงสร้างดี เศรษฐกิจดี สร้างสรรคดี และเรียนดี
นายชัชชาติ กล่าวว่า จุดแข็งของกรุงเทพฯคือ เราเป็นเมืองหัวโต เพราะ GDP ส่วนใหญ่มาจากกรุงเทพฯ 40% ความเจริญทั้งหลายก็อยู่ที่กรุงเทพฯ ส่วนค่าครองชีพปานกลาง ยังถูกกว่าประเทศฮ่องกง และสิงคโปร์ ทำให้เราสามารถแข่งขันกับเมืองอื่นได้ นอกจากนั้นก็เริ่มมีโครงสร้างพื้นฐานที่ครบมากขึ้น แต่เส้นเลือดฝอยของกรุงเทพฯยังอ่อนแอ นอกจากนั้นประเทศไทยมีประวัตศาสตร์ที่ลึก หลายเมืองในภูมิภาคยังสู้ไม่ได้ และเรามีความเป็นพหุวัฒนธรรม มีความกลมกลืนกันของหลายศาสนา ทั้งยังยินดีต้อนรับคนทั้งโลก ซึ่งก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนชอบมาเที่ยวเมืองไทย แต่จุดอ่อนของไทยคือ 1.เรื่องคอร์รัปชั่น คือตัวที่กัดกร่อนประเทศไทย
หากเรายังไม่ยอมรับเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง จะทำให้ไม่สามารถเอาศักยภาพของคนออกมาได้อย่างเต็มที่ เช่น การซื้อขายตำแหน่ง คนเก่งไม่มีโอกาสขึ้นมา เพราะมีคนที่คอยซื้อตำแหน่งอยู่ และคนที่ซื้อตำแหน่ง อาจต้องไปหาเงินจากวิธีคอร์รัปชั่นมาจ่าย สุดท้ายเป็นวงจรอุบาทว์ ถ้าเราไม่แก้ ก็วางแผนอนาคตให้ประเทศไม่ได้ 2.ความสะดวกในการทำธุรกิจ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลก็ปรับปรุงขึ้น แต่อยู่ในยังลำดับที่ 21 เมื่อเทียบกับระดับโลก เพราะกฎหมายต่างๆ ยังมีความล้าสมัย ทำให้ไม่สามารถดึงศักยภาพได้เต็มที่ 3.ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ ไทยอยู่ในลำดับต่ำ 100 จาก 112 ประเทศ นี่คือปัญหาที่เกี่ยวกับการศึกษา
นอกจากนั้น ทักษะการทำงานเพื่ออนาคตของคนไทยยังไม่สูง ทักษะ creative thinking (การคิดสร้างสรรค์) และ critical thinking (การคิดเชิงวิพากษ์) ยังต่ำมาก เพราะคนไทยถูกสอนให้ท่องจำ แต่ให้คิดวิเคราะทำได้ไม่ดี 4.เรื่องอากาศ PM2.5 กรุงเทพฯมีวันที่มีอากาศดีแค่ 25%
5.อัตราปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในกรุงเทพฯ คือ 53 ล้านตัน ซึ่งผลกระทบจากก๊าซเรือนกระจกก็รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ น้ำท่วมก็คือปัญหาหนึ่งที่มาจากผลของก๊าซเรือนกระจก ที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ซึ่งปริมาณน้ำฝนในปี 2565 จากต้นปีถึง 20 ก.ย. อยู่ที่ 1,647 มิลเมตร ส่วนปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยทั้งปีย้อนหลังคือ 1,689 มิลเมตร เท่ากับวันนี้น้ำฝนใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยทั้งปี และคาดว่าอีกวันสองวันจะเกินตัวเลขนี้ ที่น่าเป็นห่วงคือ กรุงเทพฯ ติดอันดับ 9 ของโลกที่มีความเสี่ยงจาก climate change (การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ) ถ้าไม่ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหานี้ก็จะเป็นปัญหาระยะยาว
6.สัดส่วนพื้นที่สีเขียวของกรุงเทพฯค่อนข้างต่ำ เมืองที่ดีต้องมีอย่างน้อย 9 ตารางเมตรต่อคน แต่พื้นที่สีเขียวของเราที่ใช้วัดได้จริงมีแค่ 0.92 ตารางเมตรต่อคนเท่านั้น” นายชัชชาติกล่าวเน้นย้ำว่า “ไม่มีทางที่เมืองจะสำเร็จได้ โดยไม่มีคนเก่งอยู่ในเมือง ศักยภาพของเมืองขึ้นอยู่กับคน”
เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS