อ.เจษฎ์ มองปมนายกฯ 8 ปี ส่อรุนแรง หาก “ประวิตร” รับช่วงต่อปัญหายังไม่จบ เพราะ 3 ป. สืบทอดอำนาจ
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก นักกฎหมาย อดีตที่ปรึกษาคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวถึงความคาดหวังต่อการเข้าสู่ระบบพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ว่า ตนแค่ต้องการพูดถึงกฎเกณฑ์และกติกา หวังว่าหลายภาคส่วนในสังคม ไม่ว่าจะเป็น นักการเมือง หรือทหาร โดยเฉพาะทหารชั้นผู้ใหญ่ รวมถึงประชาชน จะตระหนักถึงหน้าที่ของตนเองในแต่ละส่วน
“ถ้าทหารชั้นผู้ใหญ่ตระหนักถึงหน้าที่ของตนเอง และบ้านเมืองเกิดสถานการณ์ไม่สงบเรียบร้อย เกินการชุมนุมและออกนอกกรอบ ทำให้เกิดปัญหาอีกมาก ท่านเข้ามารักษาความสงบเรียบร้อยได้ แต่ไม่ใช่มาบริหารราชการแผ่นดิน ไม่เช่นนั้นจะเป็นการรบกับประชาชน”
รศ.ดร.เจษฎ์ ย้ำว่า ถ้าทหารคำนึงว่ากติกาคืออะไร ประชาชนก็คงไม่ออกมาชุมนุม บรรดาทหารก็รู้ว่า ปัญหาคือนักการเมือง ทำไมไม่ไปจัดการนักการเมือง ส่วนนักการเมืองก็ย่อมรู้อยู่ว่าประชาชนที่ลุกขึ้นมาต้องการอะไร ถ้าทุกคนรู้หน้าที่ ท้ายที่สุด ทุกฝ่ายตะแก้ปัญหาที่ใหญ่สุดในบ้านเมือง
“ทหารปฏิวัติทีไร ก็บอกว่านักการเมืองทุจริตนักการเมือง ประชาชนไล่ทหารออกไป ก็หาว่าทหารทุจริต แปลว่าประพฤติผิด ทุจริตมิชอบ เป็นปัญหาสำคัญของบ้านเมืองเรา ช่วยกันจับช่วยกันดู โดยเฉพาะคูหาเลือกตั้ง ใครเป็นคนทุจริต ใครเป็นคนโกงเลือกตั้ง ช่วยกันดู”
เมื่อถามว่า หลังวันที่ 30 กันยายน ผลการตัดสินปม 8 ปี นายกฯประยุทธ์ การเมืองจะออกมาในรูปแบบใด รศ.ดร.เจษฎ์ ระบุว่า ปัญหาไม่จบถ้าสมมุต พล.อ.ประยุทธ์เข้ามารับตำแหน่งในปี 57 และต้องออกไปวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา แนวโน้มสูงมากที่ ส.ว. รวมกับเสียงข้างมากอาจจะไม่เลือก นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย
ซึ่งหากเลือก นายอนุทิน อาจจะดูไม่เหมาะสม แต่เหมาะในด้านของผู้ที่จะเป็นแคนดิเดตนายกฯ ได้ เพราะเป็น ส.ส. มีพรรคการเมือง และมาจากการเลือกตั้ง แต่หากไม่เลือกนายอนุทิน แต่ไปเลือกนายกฯคนนอก เป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ปัญหาไม่จบ เพราะยังอยู่ในอำนาจ 3 ป. เป็นการสืบทอดอำนาจ
“ท้ายที่สุด อำนาจอยู่ในรัฐสภา รัฐสภามาจากการแต่งตั้งและอีกส่วนเลือกตั้งมา แต่เป็นตัวแทนของประชาชนจริงหรือไม่ หรือเป็นตัวแทนของกลุ่มผู้มีผลประโยชน์ทางการเมือง เรื่องนี้ตนจึงมองว่าไม่จบ”
สำหรับปลายทางของ 8 ปี นายกฯประยุทธ์ จะมีปลายทางอย่างไรนั้น ปลายทางถ้าพอจะเป็นได้ประชาชนต้องพร้อมใจกันเรียกร้องการปฏิรูปประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขระบบรัฐสภาด้วยการยื่นร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่การยกร่างท่านสามารถเลือกมาในลักษณะของ สสร. ต้องหาผู้มาล่างและกำหนดโดยตัวแทนที่เลือกมาจากคนทั้งประเทศต้องถามประชาชนว่าต้องการแบบใด และต้องใช้เวลาเพื่อที่จะสอบถามว่าสิ่งที่เขียนมาประชาชนพอใจแล้วหรือยัง เมื่อเราได้เราจะธรรมนูญมาก็นำเป็นประชามติ แต่จะทำอย่างไรให้การเลือกตั้งอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน นี่ก็คือความหวัง
การที่ฝ่ายค้านเสนอญัตติให้ทำประชามติ ตั้ง สสร. ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่สภาล่ม ถือเป็นการแข็งขืนของ ส.ส. หรือไม่ รองศาสตราจารย์เจษฎ์ ย้ำว่า ใช่ นี่คือการแข็งขืน พลังของประชาชนในตอนนี้ ไม่สามารถที่จะมุ่งไปในทิศทางเป้าหมาย แตกออกไปแบบไร้ประโยชน์ ไม่เข้มแข็งที่จะกดดันสภา ต้องใช้พลังให้ถูกให้เป็นทิศทางเดียวกัน ท้ายที่สุดสภาก็ต้องยอม เพราะถ้าไม่ยอมก็จะเกิดเรื่อง ต้องขอให้คิดกันเยอะๆ พิจารณาให้มาก ตนเชื่อว่า พลังของประชาชนสามารถที่จะปรับเปลี่ยนและมีอำนาจมากกว่าพลัง ส.ส.