กมธ. มีมติ 32 ต่อ 11 เห็นด้วยใช้สูตร 100 หารคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า นายสมชัย ศรีสุทธิยากร โฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่…) พ.ศ. … แถลงผลการประชุมกรรมาธิการฯ เรื่องการนับคะแนนส.ส.บัญชีรายชื่อว่า กรรมาธิการเสียงข้างมากลงมติ 32 ต่อ 11 เสียง งดออกเสียง 2 โดยเห็นด้วยกับแนวทางใช้ 100 หารเพื่อให้ได้ส.ส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งผู้ที่เห็นต่างจะสงวนคำแปรญัตติเพื่อเอาไปอภิปรายในสภาใหญ่อีกครั้ง โดยคาดว่าน่าจะบรรจุวาระดังกล่าวได้ช่วงต้นเดือนมิถุนายนนี้ ทั้งนี้ผู้ที่เห็นต่างเป็นกรรมาธิการเสียงข้างน้อย ที่ส่วนใหญ่เป็นส.ว.ส่วนตนเองก็ถือเป็นเสียงจ้างน้อยโหวตหาร 500 ตามร่างการแปรญัตติของพรรคเสรีรวมไทย ซึ่งหลังจากนี้ขึ้นอยู่กับการแสดงความเห็นและโหวตในสภาใหญ่ว่าจะคิดเห็นอย่างไร แต่ส่วนใหญ่จะเห็นเป็นในแนวทางเดียวกันกับกรรมาธิการเสียงข้างมาก แต่ก็ขึ้นอยู่กับการเหตุผลการอภิปรายในสภาใหญ่ว่าเป็นอย่างไร
นายสมชัย ยอมรับว่า ยังมีปัญหาเรื่องการตีความมาตรา 93 และ 94 ในรัฐธรรมนูญยังไม่มีการแก้ไข จึงมีคำว่าส.ส.พึงมี และส.ส. ที่พึงได้รับและหากเลือกตั้งไม่เสร็จจะทำอย่างไร รวมทั้ง หากมีการทุจริตการเลือกตั้งภายใน 1 ปีต้องเลือกตั้งใหม่จะทำอย่างไร ประเด็นที่ตั้งข้อสังเกตถึงความลำบากในการทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.หากเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้นกกต. จะมีวิธีการปฏิบัติอย่างไรในเมื่อกฎหมายลูกไม่ได้เขียนให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญซึ่งหาก กกต. ทำผิดอย่างใดอย่างหนึ่ง อาจจะทำผิดรัฐธรรมนูญได้
ส่วนหากสภาลงมติวาระ 3 มีมติเห็นไปในทางตรงกันข้ามคือเห็นชอบใช้ 500 หาร จะมีผู้ไปร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยนั้น ต้องใช้ ส.ส. หรือ ส.ส.และส.ว.จำนวน 1 ใน 10 ของทั้งสองสภาคือ 75 คน เข้าชื่อกันร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ว่ากฎหมายที่เขียนขึ้นมามีข้อความขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญซึ่งสามารถทำได้ หากเสียง ถึง 75 คนประธานสภาจะต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอาจทำให้เกิดกระบวนการที่ล่าช้าไปประมาณ 1 เดือน ถึง1 เดือนครึ่ง
อย่างไรก็ตามนายสมชัยมองว่าการใช้ 100 หรือ 500 หารนั้น มีทั้งข้อดี ข้อเสีย หากเอา 100 หารก็ได้การเมืองอีกอย่างหนึ่งพรรคการเมืองใหญ่มีความเข้มแข็งมีไม่กี่พรรค ส่วน 500 หารและจัดสรรปันส่วนผสมคำตอบคือจะได้พรรคการเมืองที่หลากหลายเป็นรัฐสภาที่มีกลุ่มคนหลากหลายเข้ามาในสภาแต่จะเป็นปัญหาเรื่องเสถียรภาพของรัฐบาล จึงต้องชั่งน้ำหนักกัน หลายประเทศก็มีการเลือกแต่ละแบบไม่เหมือนกัน ไม่มีใครถูกใครผิด แต่การแก้ไขกฎหมายลูกในครั้งนี้มีข้อจำกัด คือรัฐธรรมนูญแก้แบบไม่สะเด็ดน้ำ แก้ไม่ครบทุกมาตราที่จำเป็นต้องแก้ หากจะต้องการให้การเลือกตั้งแบบคู่ขนานต้องแก้อย่างน้อย 6 มาตราแต่กลับแก้แค่ 3 มาตรา และข้อจำกัดอีกข้อคือร่างพ.ร.ป.ส.ส.การรับหลักการในวาระที่ 1 ออกไปในแนวทางใช้ 100 หาร ต้องทำให้อยู่ในแนวทางเดียวกันกับวาระแรกดังนั้นจึงเป็นความยากขยับซ้ายก็ผิดขยับขวาก็ผิด จึงมีพรรคได้เปรียบเสียเปรียบต่างกัน
นอกจากนี้กรรมาธิการยังได้แก้ไขให้การเลือกตั้ง ประชาชนสามารถถ่ายภาพ บันทึกคลิปวีดีโอ บันทึกเสียง หรือไลฟ์สดในการนับคะแนนได้ แต่ต้องไม่ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง เกิดความชัดเจนและโปร่งใสในการเลือกตั้ง พร้อมกันนี้หลังจากนับคะแนนได้ผลการเลือกตั้งแต่ละหน่วยเลือกตั้งแล้วกกต.เขต ต้องนำผลคะแนนตัดทางอินเทอร์เน็ตภายใน 72 ชั่วโมงหลังนับคะแนน รวมถึงการอนุญาตให้นับคะแนนในส่วนการลงคะแนนนอกราชอาณาจักรได้ในประเทศที่มีความพร้อมเพื่อเป็นการแก้ปัญหาขนส่งบัตรเลือกตั้งมาไม่ทัน จนกลายเป็นบัตรเสียเหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
