Connect with us

News

น่าห่วง!! คุณแม่ ตัดพ้อ ลูกชายเลือดกำเดาไหล เพราะฝุ่น ต้องอยู่แบบจำยอม จำทน

Published

on

คุณแม่ เผยเคสอุทาหรณ์ลูกชายเลือดกำเดาไหล 2 วันติด คาดเพราะฝุ่น PM 2.5 ที่เกินมาตรฐาน

ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง เปิดเผยภาพลูกชายที่เลือดกำเดา โดยคาดว่าสาเหตุเกิดจากฝุ่น PM 2.5 ที่เกินค่ามาตรฐาน โดยระบุว่า

วันนี้เด็กๆนั่งเล่นอยู่ พี่สาววิ่งมาบอกแม่ว่าเห็ดสุดรักของแม่ เลือดกำเดาไหล เมื่อไหร่ที่ฝุ่น pm สูง ก็จะแทบทุกครัังที่ลูกชายกับลูกสาวเลือดกำเดาไหลคะ ชีวิตเหมือนต้องจำยอม จำใจ จำทน อยู่แบบเลือกไม่ได้ เผาเมื่อไหร่ก็ต้องรับสภาพไป

ต่อมาคุณแม่ โพสต์ข้อความเพิ่มเติมอีกว่า…

วันที่สองของลูกชายที่เลือดกำเดาไหล

วันนี้แม่กับป๊าออกไปซื้ออาหารไม่ไกลจากหมู่บ้าน สักพักลูกสาวคนโตโทรมาบอกว่า แม่คะน้องเลือดกำเดาไหล มันออกมาเรื่อยๆ ยังไม่หยุด หนูปฐมพยาบาลน้องอยู่คะ นี่คือเหตุผลหลักที่ซื้อบ้านไว้ที่ต่างจังหวัด แต่มันไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ มันคือการที่เราต้องมารับผิดชอบของการกระทำจากคนมักง่าย เห็นแก่ตัว คนบางกลุ่มได้รับผลประโยชน์? และส่วนเราต้องมารับกรรมของคนพวกนี้ มันใช่เหรอ its not fair



นอกจากนี้ คุณแม่ยังเสนอ 15 มาตรการเพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า

15 มาตรการ ..เพื่อแก้ปัญหา ‘ฝุ่น PM 2.5’ ในเขตกรุงเทพ และพื้นที่ภาคเหนือ และพื้นที่อื่นๆทั่วประเทศ

1.ตั้ง ‘คณะกรรมการอากาศแห่งชาติ’ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมีรัฐมนตรีทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ เพื่อยกระดับความสำคัญของปัญหาอากาศ ต่อมาจึงแยกย่อยเป็นคณะกรรมการระดับจังหวัด เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ซึ่งมีความรู้ความสามารถได้เข้ามามีส่วนร่วม

2.ต้อง ‘ตั้งเป้า’ ลดปริมาณรถควันดำลงให้ได้ 80% ภายใน 1 ปี โดยใช้มาตรการตรวจจับควันดำอย่างเข้มงวด รวมไปถึงเพิ่มมาตรฐานการตรวจสภาพรถยนต์เพื่อต่อภาษี และต้องมีบทลงโทษต่อตรอ.รวมถึงเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบกที่มีส่วนในความบกพร่อง

3.กระทรวงอุตสาหกรรรมต้องส่งเสริมรถไฟฟ้า EV อย่างเป็นรูปธรรม กระทรวงพลังงานต้องสนับสนุนให้มีสถานีชาร์จอย่างเพียงพอภายใน 1-2 ปี โดยเฉพาะในปั๊มน้ำมันที่เป็นรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลังต้องมีมาตรการจูงใจประชาชนให้เปลี่ยนมาใช้รถ EV เหมือนในต่างประเทศที่สนับสนุนด้านภาษี

4.ติดตั้งหอฟอกอากาศขนาดสูง โดยใช้หอต้นแบบจากเมือง ‘ซีอาน’ ประเทศจีน ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่ามีประสิทธิภาพดีที่สุดในโลก ฟอกอากาศครอบคลุมพื้นที่ต้นละ 10 กิโลเมตร ไม่ใช่แบบต้นเล็กที่ฟอกได้เพียงแค่ 1,000 ตารางเมตร ที่กำลังเป็นข่าวว่ากทม.กำลังจะทำ

5.จัดทำ safety zone ในทุกโรงเรียน ศูนย์เด็กเล็ก บ้านพักคนชรา โรงพยาบาล สถานที่ราชการ รวมถึงแหล่งชุมชนทุกแห่ง ให้สามารถรองรับประชาชนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงได้ ในช่วงเวลาที่ค่าฝุ่นพุ่งสูงเกิน 100 ไมโครกรัม/ลบ.ม.

6.กรมควบคุมมลพิษ กรมอุตุฯ และกระทรวงสาธารณสุข ต้องบูรณาการการแจ้งเตือนร่วมกัน โดยจัดทำ ‘แอพพลิเคชั่น’ ที่ประชาชนเข้าถึงได้ในวงกว้าง หรือเชื่อมแอพพลิเคชั่นดังกล่าวกับผู้ประกอบการรายใหญ่ เช่น Line เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสเข้าถึงการแจ้งเตือนได้อย่างแท้จริงและทันท่วงที

7.สำหรับพื้นที่ภาคเหนือต้องใช้มาตรการ ‘การตลาดนำการเกษตร’ เป็นหลัก เพื่อให้เกษตรกรหันมาปลูกพืชที่ไม่ต้องเผา โดยขอความร่วมมือจากภาคเอกชน อาจเป็นในรูปแบบการทำคอนแทรคฟาร์มมิ่ง และสนับสนุนสิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ภาคเอกชนที่ให้ความร่วมมือ

8.กำหนดให้มีความรับผิดชอบทางด้านกฎหมาย ต่อผู้ประกอบการที่รับซื้อข้าวโพด/อ้อย เพื่อใช้ในการผลิตอาหารสัตว์ และเพื่อการอื่นๆทั้งระบบ เพื่อมิให้รับซื้อจากแปลงที่มีการเผา รวมถึงส่งเสริมการใช้ ‘บทลงโทษทางสังคม’ ต่อผู้ประกอบการที่ขาดจิตสำนึกสาธารณะ

9.ส่งเสริมแนวทางการ ‘เพาะเห็ดถอบ’ โดยต่อยอดจากงานวิจัยของมช. เพื่อหาแนวทางให้ประชาชนในภาคเหนือเลิกเผาป่าเพื่อหาเห็ดถอบ และหันมาเพาะเอาแทน

10.หาแนวทาง’การขนย้ายตอซังข้าวโพด’ จากที่ราบสูงรวมถึงพื้นที่ห่างไกล เพื่อให้เกษตรกรสามารถส่งขายโรงไฟฟ้าชีวมวลหรือจุดรับซื้อต่างๆได้ โดยอาจประสานข้อมูลกับโครงการ ‘โรงไฟฟ้าชุมชน’ ของกระทรวงพลังงาน เพื่อพิจารณาที่ตั้งโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ให้กระจายทั่วถึงในแต่ละพื้นที่ที่มีการเผา

11.รัฐบาลต้องเร่งสนับสนุน ‘ร่างกฎหมายอากาศสะอาด’ ที่กลุ่ม ‘เครือข่ายอากาศสะอาด’ ได้เป็นผู้ริเริ่มไว้ และตั้งองค์กรที่รับผิดชอบด้านอากาศทั้งระบบภายใต้กฎหมายดังกล่าว โดยจะมีหน้าที่ดูแลอากาศทั้งองคาพยพในระยะยาว

12.เร่งเจรจาความร่วมมือระดับพหุภาคีกับประเทศในภูมิภาคอาเซียน กรณี ‘ฝุ่นควันพิษข้ามพรมแดน’ โดยต้องมีข้อตกลงในการลดและควบคุมสาเหตุร่วมกันอย่างชัดเจน ที่สำคัญกรอบระยะเวลาต้องไม่ยาวมากเกินไป

13.สร้างสื่อประชาสัมพันธ์ รณรงค์ให้ประชาชนทุกกลุ่ม ทั้งผู้ใช้รถยนต์ เกษตรกร ผู้ประกอบการ รวมถึงประชาชนทั่วไป ได้ตระหนักถึงผลเสียจากฝุ่น PM 2.5 โดยต้องทำอย่างต่อเนื่องจนกว่าปัจจัยการเกิดฝุ่นได้ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ

14.ปรับวิสัยทัศน์ทางด้านสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้คำนึงถึงความสำคัญของต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมที่ประเทศต้องเสียไปในแต่ละปี เพื่อเป็นข้อพิจารณาในการกำหนดยุทธศาสตร์และนโยบายต่างๆ จะได้ไม่เกิดเหตุซ้ำอีก

15.ข้อสุดท้ายนี้สำคัญที่สุด คือ ‘การวางคนให้เหมาะสมกับงาน’ อย่าตั้งตำแหน่งใดๆเพียงเพราะเหตุผลทางการเมือง หรือมาจากเส้นสายของนักการเมืองและข้าราชการระดับสูง แต่ควรเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนที่มีความรู้และประสบการณ์อย่างแท้จริงเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา

ปล.ที่เสนอไปทั้งหมดนี้ มาจากการรับฟังผู้ที่มีใจแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 หลายท่าน บางข้อมีอยู่ในมติครม.แล้ว แต่หลายข้อก็ยังไม่มี ซึ่งรัฐบาลควรเปิดใจรับฟังประชาชนให้มากขึ้น

#เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS

Continue Reading
Advertisement ad-02-doosoft.jpg
Advertisement QK6ZtN.png

Copyright © 2022 TOJO.NEWS

%d bloggers like this: