“นายกฯ” แจ้งมติ ครม. ลดภาษีสรรพสามิตดีเซล 5 บาท/ลิตร อีก 4 เดือน ถึง 20 พ.ค. 66
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักทุกท่านครับ จากการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 17 ม.ค. 66 ผมมีความยินดีที่จะขอแจ้งว่า ครม.ได้เห็นชอบให้ขยายมาตรการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้สูงเกินไป จนเป็นภาระค่าใช้จ่าย-ค่าครองชีพแก่ภาคครัวเรือน รวมทั้งภาคการผลิตในภาพรวม จากการขาดเสถียรภาพราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังคงผันผวน และเราไม่สามารถควบคุมเองได้ โดยการลดภาษีสรรพสามิตดีเซล 5 บาทต่อลิตร ต่อไปอีกเป็นระยะเวลา 4 เดือน (21 ม.ค. – 20 พ.ค. 66)
นอกจากเรื่องค่าครองชีพแล้ว อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับผม นั่นคือเรื่องการศึกษา ซึ่งตั้งแต่ผมได้เข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ได้มุ่งมั่นดำเนินนโยบายลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษามาตลอด ด้วยการดูแลนักเรียน-นักศึกษาผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ด้อยโอกาส ผ่านกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานี้ มีผลการดำเนินงานสำคัญ ดังนี้
- สร้าง “ระบบหลักประกันโอกาสการศึกษา” เพื่อป้องกันเด็กและเยาวชนกว่า 3.5 ล้านคน ไม่ให้หลุดจากระบบการศึกษา อีกทั้งมี “ระบบส่งต่อ” ให้ได้รับการศึกษาสูงกว่าภาคบังคับ จนถึงอุดมศึกษา หรือสายอาชีพ ซึ่งจะเป็นการขจัดวงจรความยากจนข้ามรุ่นให้หมดสิ้นไป
- ช่วยเด็กและเยาวชนนอกระบบกว่า 40,000 คน ให้ได้กลับเข้าสู่การเรียนรู้ การพัฒนาทักษะชีวิต และเสริมสร้างทักษะอาชีพ ที่ตอบโจทย์ชีวิตตามศักยภาพและความถนัดเป็นรายบุคคล เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ทุกคน โดยมีงานทำเป็นหลักแหล่ง มีอาชีพที่มั่นคง ลดภาวะการพึ่งพิง และสามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้
- เชื่อมโยงข้อมูลนักเรียนที่เข้าศึกษาต่อ ผ่านระบบการคัดเลือกกลางบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษา (TCAS) ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีที่พบว่าเด็กที่ได้รับความช่วยเหลือจากการคัดกรองนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษของ กสศ.นี้ เมื่อปีการศึกษา 2561 ยังคงได้รับการศึกษาต่อเนื่อง และยืนยันสิทธิ์ผ่านระบบ TCAS ในปีการศึกษา 2565 จำนวน 20,018 คน กระจายอยู่ในสถาบันอุดมศึกษาจำนวน 75 แห่ง ทั่วประเทศ
สิ่งที่น่าสนใจคือ รายงานของสถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (วสศ.) ได้จัดทำแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ และประเมินว่า นักศึกษาทั้ง 20,018 คนนี้ เมื่อเรียนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จะเกิดประโยชน์เฉพาะตัวในทันที คือ การมีอาชีพและสร้างรายได้เลี้ยงชีพ-เลี้ยงครอบครัว ซึ่งจะต่อยอดไปสู่ประโยชน์ในภาพรวมของประเทศ โดยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นถึง 66,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 3.3 ล้านบาทต่อคน เกิดโอกาสหารายได้ที่สูงขึ้นกว่าการสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลายอย่างมาก
ซึ่งถ้าหากจะคำนวณต้นทุนในการศึกษาจนสำเร็จระดับปริญญาตรีโดยเฉลี่ยแล้ว จะอยู่ที่ประมาณ 8,200 ล้านบาท หรือคิดเป็น 410,000 บาทต่อคน แต่ได้ผลตอบแทนเชิงเศรษฐกิจมากกว่า 7 เท่า ซึ่งนับว่าสูงมาก เทียบเคียงได้กับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟฟ้า แต่ที่ผมเห็นว่าสำคัญกว่านั้นคือความคุ้มค่าในเชิงสังคม เพราะนอกจากจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ขจัดมรดกความยากจนข้ามรุ่นแล้ว ยังเสริมสร้างสมรรถะทรัพยากรมนุษย์ของประเทศให้สูงขึ้น ตอบโจทย์การพัฒนาในอนาคตอีกด้วย นี่คือสิ่งที่ผมมุ่งมั่นผลักดันนโยบายต่างๆ มาตลอด ทั้งหมดก็เพื่ออนาคตที่ดีของลูกหลานของเราครับ
#เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS