รอเคาะ! ดูเงื่อนไข..สธ.เสนอ ศบค. ห้ามประชาชน งดเดินทาง-อยู่บ้าน-ปิดสถานที่เสี่ยง อย่างน้อย 14 วัน
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงข่าวด่วนสถานการณ์โควิด-19 ว่าจากการประชุมศูนย์ปฏิบัติการทางการแพทย์และสาธารณสุขฉุกเฉินกรณีโรคโควิด-19(EOC) กระทรวงสาธารณสุข(สธ.)ร่วมกับคณะที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขศบค.และคณบดีคณะแพทยศาสตร์ในพื้นที่กทม. โดยเห็นว่า สถานการณ์โควิด-19มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 7,058 ราย มีผู้ติดเชื้อระลอกเม.ย.2564 สะสม 280,000 ราย เสียชีวิต 75 คน ส่วนใหญ่ยังอยู่ในกทม.และปริมณฑล มีแพร่ในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นมาตามลำดับ แต่ไม่ใช่ตัวเลขเดียวที่พุ่งขึ้นมา
แต่เป็นตัวเลขที่สะสมขึ้นมาตลอดแสดงว่ามีการติดเชื้อขึ้นมาจำนวนมากอยู่ตลอด ทำให้มีมาเข้ารับการตรวจหาเชื้อและรอคอยจำนวนมาก ขณะเดียวกันมีการรับผู้ป่วยเข้ารักษาจำนวนมากเช่นกัน โดยเฉพาะในกทม.และปริมณฑล ไอซียูที่เพิ่มขึ้นก็มีการใช้มาก รวมถึงเตียงรองรับผู้ป่วยสีเขียวก็มีการใช้เพิ่มมากขึ้นด้วย
สธ.จึงได้ออกมาตรการดังต่อไปนี้ คือ 1.การตรวจหาผู้ติดเชื้อโดยใช้แรปิด แอนติเจน เทสต์ (Rapid antigen test) จากเดิมที่ใช้วิธีRT-PCRด้วยการSwab อาจจะใช้เวลานานหลายชั่วโมง หรือหากมีจำนวนมากจะต้องใช้เวลาข้ามวัน ทำให้การมราบผลเชื้อล่าช้า ระหว่างนั้นอาจเกิดการแพร่กระจาย จึงตกลงใช้แรปิด แอนติเจน เทสต์ เข้ามาสนับสนุนการตรวจ ซึ่งในช่วงแรกให้ตรวจที่สถานพยาบาลตามที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้และมีเตียงรับรองด้วย ดังนั้น ผู้ที่เข้ารับการตรวจจะได้รับการตรวจด้วยวิธีนี้ก่อน ถ้าผลเป็น ลบ ก็ให้กลับบ้าน แต่ถ้าผลเป็นบวก จะรับเข้าดูแลในสถานพยาบาลเลยหรือรายที่สงสัยอาจจะมีการตรวจซ้ำด้วยวิธีRT-PCR และต่อไปเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจ สธ.ก็จะใช้รูปแบบการตรวจด้วยตนเอง(Home Use)ให้มากขึ้นจะเป็นการพิจารณาในระยะต่อไปในเร็วๆนี้ แต่การดำเนินการที่สถานพยาบาลทำได้เลยทันที
2.Home Isolation และ Community Isolation หากการตรวจพบติดเชื้อ ต้องใช้รูปแบบนี้ในการรองรับ โดยระบบสธ.จะเข้าไปดูแลและติดตาม ถ้ามีอาการมากหรือคนไข้สีเหลืองและเป็นกลุ่มเสี่ยงก็รับไว้ในสถานพยาบาล ซึ่งคนที่จะอยู่ใยระบบHome Isolation และ Community Isolationจะต้องเป็นคนไข้สีเขียวเท่านั้น และจะต้องดูเรื่องความปลอดภัย จะร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)ในการดูแลเป็นครอบครัว อาจจะลดเกณฑ์Home Isolation และ Community Isolationจากเดิมที่จะต้องสามารถแยกตัวอยู่คนเดียวที่บ้านได้ ให้ดูแลเป็นครอบคัรัว โดยมีการสนับสนุนอุปกรณ์ในการดูแลตนเองและรายงานมาที่ระบบติดตาม ขณะเดียวกันผู้ป่วยที่รักษาอยู่ในสถานพยาบาลในวันที่ 10 หรืออาจจะสั้นกว่ากลับไปดูแลที่ Home Isolation เพื่อลดเตียงให้คนที่จำเป็นได้เข้าสู่ระบบรพ.ได้
3.เน้นมาตรการบุคคลต่างๆ อย่างเข้มงวด เพราะตอนนี้มีความกระจาย โดยต้องเน้นสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ โดยที่ทำงานก็ต้องระวัง อย่ารับประทานอาหารร่วมกัน ที่บ้านก็เช่นกัน ขอให้ต่างคนต่างรับประทานอาหาร และขอให้ Work From Home มากขึ้น
4.การฉีดวัคซีนโควิด ต้องเร่งฉีดพื้นที่เสี่ยง และกลุ่มเสี่ยง คือ ผู้สูงอายุและผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง ขณะนี้มีนโยบายใช้วัคซีนไม่ต่ำกว่า 80% ฉีดให้ 2 กลุ่มนี้ก่อน เพื่อลดอัตราการป่วยและเสียชีวิต โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยง เช่น กรุงเทพฯ และปริมณฑล สัปดาห์หน้าต้องฉีดให้ได้มากกว่า 1 ล้านโดสขึ้นไป ขณะนี้กรุงเทพฯฉีดไปแล้ว 4 ล้านโดส ต้องเร่งฉีดใน 1-2 สัปดาห์ให้ขึ้นไปอีก จะได้ครอบคลุมมากกว่า 50% โดยต้องระดมทุกภาคส่วน ซึ่งสธ.จะหาคนไปช่วยกทม. ในการฉีด โดยหากสามารถฉีดได้ 1 ล้านโดส ช่วงสิ้นเดือนนี้ก็จะได้ถึง 60%
5.สธ.เสนอศบค.ในการยกระดับมาตรการทางสังคม ที่สำคัญ คือ การจำกัดการเดินทาง อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ ไม่ออกจากเคหสถาน เว้นไปหาอาหาร พบแพทย์ และฉีดวัคซีน ห้ามเดินทางข้ามจังหวัด และปิดสถานที่เสี่ยงทั้งหมดที่ไม่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ยกเว้น ตลาด ซุปเปอร์มาร์เก็ต
โดยใช้ในพื้นที่เสี่ยงและกันชน เป็นเวลาอย่างน้อย 14 วัน โดยได้มีการเสนอไปยังศบค.ชุดเล็กพิจารณาแล้ว เหล่านี้เป็นมาตรการสำคัญที่สธ.เร่งเสนอเพื่อลดการระบาดในเขตกทม.และปริมณฑล เพื่อให้ระบบสาธารณสุขสามารถดูแลอย่างมีประสิทธิภาพและผ่านการระบาดนี้ไปได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด”นพ.เกียรตคิภูมิกล่าว
You must be logged in to post a comment Login