Connect with us

Entertainment

Published

on

ปัญหาเรื่องความไม่เท่าเทียมด้านสีผิวและการเหยียดผิวถือว่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ทั่วทุกมุมโลกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาที่ทวีความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ถึงขนาดมีการต่อต้านครั้งใหญ่เลยทีเดียว วันนี้ TOJO News จึงขอนำเสนอ 5 ภาพยนตร์เกี่ยวกับคนดำ ที่จะมาทำให้คุณตระหนักว่า ถึงเขาจะมีสีผิวที่ต่างจากเรา พวกเขาก็เป็นเพื่อนร่วมโลกที่มีทั้งหัวใจและแรงกาย เฉกเช่นพวกเราทุกคน ภาพยนตร์เหล่านี้นอกจากจะมอบความบันเทิงแล้ว บางเรื่องยังสร้างแรงบันดาลใจชั้นดีอีกด้วย จะมีเรื่องอะไรบ้าง เราไปดูกันเลยยย

Get Out

มาเริ่มกันกันที่ภาพยนตร์แนวระทึกขวัญสยองขวัญสุดเจ๋งเรื่องนี้เลยครับ Get Out เล่าเกี่ยวกับ คริส ชายผิวดำที่เดินทางไปเยี่ยมพ่อแม่ของแฟนสาวผิวขาวของเขาเป็นครั้งแรก สีผิวของเขาทำให้คริสกังวลว่าที่บ้านของแฟนจะไม่ยอมรับ แต่แล้วทุกอย่างกลับเป็นตรงกันข้าม พวกเขามีความเอื้ออารีอย่างไม่น่าเชื่อ แถมยังมีคนดำเป็นคนใช้หลายคน คริสเริ่มรู้สึกว่ามีหลายอย่างไม่ชอบมาพากล หารู้ไม่ว่าความสยองกำลังรอเขาอยู่ จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ต้องไปดูครับ

สุดยอดมากครับสำหรับเรื่องนี้ ครบรสจริงๆ มีทั้งความสยอง ความตื่นเต้น ความกดดัน หรือแม้แต่ความตลกก็ถือว่าฮาใช้ได้เลยทีเดียว การดำเนินเรื่องน่าติดตามแบบสุดๆ เนื่องจากตัวหนังจะค่อยๆหยอดความหลอนและสถานการณ์สุดประหลาด ให้คนดูได้สงสัยทีละนิดตลอดเรื่อง จนพอเฉลยเท่านั้นแหละพีคเลย อีกทั้งภาพยนตร์เรื่องนี้จะเน้นบรรยากาศที่ชวนวิตกกังวลมากกว่าการพยายามทำให้คนดูตกใจด้วยฉากตุ้งแช่ ซึ่งถือว่าทำได้เยี่ยมเช่นกัน หลายคนที่คิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะตึงเครียดแบบสุดๆก็ขอให้สบายใจได้ เพราะตัวหนังได้แอบแฝงมุกตลกลงไปพอสมควร ผ่านตัวละครเพื่อนสนิทของคริส แถมยังเล่นได้ถูกจังหวะอีกด้วย นอกจากนี้ ยังแฝงเรื่องของปัญหาความแตกต่างด้านสีผิว และเรื่องของการจับคนดำเป็นทาสได้อย่างแนบเนียน เพราะความสุดยอดของตัวหนังนี่เองทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 4 สาขาด้วยกัน โดยชนะในสาขา บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม และชิงในสาขา ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม และนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม บอกเลยเพื่อนๆที่ยังไม่เคยดู รีบหามาดูเลยครับ แล้วจะติดใจ

ไฮไลท์ของเรื่อง: ฉากสะกดจิตด้วยถ้วยน้ำชา, ฉากแสงแฟลชมือถือสุดช๊อก และฉากการสู้กลับของคริสที่โคตรสะใจ

กำกับโดย Jordan Peele
นำแสดงโดย Daniel Kaluuya, Allison Williams, Bradley Whitford, Caleb Landry Jones, Catherine Keener
เข้าฉายในปี 2017

Django Unchained

ภาพยนตร์สุดมันส์โดยผู้กำกับหนังสุดแนว เควนติน ทาแรนติโน่ เรื่องนี้เล่าเรื่องของ จังโก้ ทาสคนดำที่ถูกปลดปล่อยโดยนักล่าค่าหัว ดร.คิง ชูลท์ เพื่อให้ช่วยชี้ตัวอาชญากรที่ต้องปลิดชีพ หลังทำภารกิจสำเร็จ ชูลท์ได้ตัดสินใจช่วยจังโก้เป็นการตอบแทนโดยการช่วยเขาตามหา บรูมฮิลด้า ภรรยาของจังโก้ที่หายไปตั้งแต่การซื้อขายทาสเมื่อนานมาแล้ว และนี่เองที่นำพาทั้งคู่มาพบกับเจ้าของไร่สุดโหดเหี้ยม คาลวิน แคนดี้ ผู้ชื่นชอบการนำทาสคนดำมาสู้กันเพื่อความบันเทิงแบบถึงตาย อีกทั้งยังเป็นผู้ครอบครองบรูมฮิลด้าอีกด้วย งานนี้จังโก้จะสามารถช่วยภรรยาของเขาออกจากนรกแห่งนี้ได้หรือไม่ ต้องดูถึงจะรู้

Django Unchained เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ชั้นยอดของผู้กำกับ เควนติน ทาแรนติโน่ โดยเรื่องนี้ยังคงความน่าติดตาม และบทพูดสุดเจ๋งไว้ตลอดทั้งเรื่องเช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆของเขา อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความรุนแรงแบบโหดดิบแต่โคตรมันส์เช่นกัน นักแสดงทุกคนได้ปลดปล่อยของกันอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะลีโอนาโด้ ดีคาปลีโอ ในบท คาลวิน ตัวร้ายของเรื่อง ที่เล่นได้กวนตรีนและโหดเหี้ยม โดยเฉพาะฉากโต๊ะอาหารที่ทำคนดูตัวเกร็งจนแทบหยุดหายใจเลยทีเดียว นอกจากนี้ Django Unchained ยังคารวะหนังแนวคาวบอยยุค 60 ได้อย่างดีเยี่ยม แต่สิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำได้สะใจสุดๆคือประเด็นที่ทาสคนดำคนหนึ่งได้ตัดสินใจฮึดสู้เพื่อจัดการกับเหล่าคนขาวสุดชั่วนั่นเอง ต้องยอมรับว่าการที่คนๆหนึ่งต้องทุกทรมานแบบสุดขั้วมาอย่างยาวนาน เมื่อถึงจุดหนึ่งมันก็คงจะระเบิดออกมาเช่นเดียวกับจังโก้ ที่ไม่สามารถทนความเป็นทาสได้อีกต่อไป

ในเวทีออสการ์นั้น Django Unchained ได้เข้าชิงถึง 5 สาขาเลยทีเดียว และชนะไป 2 ในสาขา บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม และนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม และเข้าชิงในสาขา ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม และถ่ายภาพยอดเยี่ยมนั่นเอง แนะนำเลยครับสำหรับเรื่องนี้ ยิ่งใครเป็นแฟนคลับของผู้กำกับเควนติน ด้วยละก็ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง

ไฮไลท์ของเรื่อง: ฉากการล้างแค้นของจังโก้พร้อมประโยค “โคตรชอบเวลาแกตายเลย”, ฉากโต๊ะอาหารสุดกดดัน, ฉากรัวกระสุนสุดมันส์ที่แคนดีแลนด์

กำกับโดย Quentin Tarantino
นำแสดงโดย Jamie Foxx, Leonardo DiCaprio, Christoph Waltz, Kerry Washington, Samuel L. Jackson
เข้าฉายในปี 2012

Glory

หนังสงครามชั้นดีเรื่องนี้ เล่าถึงช่วงสงครามกลางเมืองของสหรัฐอเมริกา พันเอก โรเบิร์ต โกลด์ ชอว์ นายทหารหนุ่มผิวขาว ผู้ที่เป็นคนบังคับบัญชากองทหารที่ 54 ประจำรัฐแมซซาชูเซ็ท ซึ่งเป็นเหล่าคนดำที่ได้รับอิสรภาพ ในการสู้ศึกสงครามครั้งนี้ ปัญหามีอยู่ว่าพลทหารในกองส่วนใหญ่ไม่เชื่อฟังคำสั่งของเขา แต่สงครามที่ดุเดือดมากขึ้นทำให้เขาในฐานะคนขาว และกองทหารของเขาที่เป็นเหล่าคนดำ จำเป็นต้องร่วมมือร่วมใจสามัคคีกัน ในการปฎิบัติภารกิจสุดโหดด้วยการเป็นแนวหน้าของกองกำลังบุกป้อมที่แทบจะไม่มีทางยึดได้ แล้วพวกเขาจะสามารถคว้าชัยชนะและปฎิบัติภารกิจจนสำเร็จได้หรือไม่ ไปดูกันครับ

Glory นับว่าเป็นภาพยนตร์สงครามชั้นยอดอีกเรื่องที่ควรค่าแก่การดูอย่างยิ่ง นอกจากจะมีฉากสงครามที่ดุเดือดสมจริงแล้ว ยังเป็นภาพยนตร์ที่สร้างแรงบันดาลใจชั้นยอดอีกด้วย พร้อมเชิดชูวีรกรรมของเหล่าทหารผิวสีที่พร้อมเสียสละทั้งกายและใจเพื่อประเทศชาติ และความเท่าเทียมของเชื้อชาติและสีผิว อีกทั้งยังมีเมสเสจที่สื่อให้คนดูได้ตระหนักว่า ถึงคนจะมีเชื้อชาติและสีผิวที่ต่างกัน แต่เราก็สามารถอยู่ร่วมกันและสามัคคีกันได้ เพราะเราต่างก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือการแสดงของ เดนเซล วอชิงตัน ในบททหารชื่อ ทริป ที่ทรงพลังมาก เขาสามารถสื่ออารมณ์ผ่านสีหน้าและแววตาได้อย่างยอดเยี่ยม จนถึงขั้นคว้ารางวัลออสการ์สาขา นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมมาครองได้ แม้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกๆที่เค้าเล่นเลยทีเดียว ในเวทีออสการ์ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เข้าชิงถึง 5 สาขา และชนะถึง 3 โดยอีก 2 สาขาที่ได้รางวัลคือ ถ่ายภาพยอดเยี่ยม และเสียงยอดเยี่ยม ส่วนอีก 2 สาขาที่เข้าชิงคือ ตัดต่อยอดเยี่ยม และกำกับศิลป์ยอดเยี่ยม เพื่อนๆที่ต้องการดูหนังสงคราม หรือหนังคุณภาพซักเรื่อง แนะนำเลยครับ หนังดีมากๆ

ไฮไลท์ของเรื่อง: ฉากทริปโดนเฆี่ยนหลัง พร้อมการแสดงอันแสนทรงพลังของเดนเซล วอชิงตัน และฉากบุกป้อมว๊ากเนอร์

กำกับโดย Edward Zwick
นำแสดงโดย Matthew Broderick, Denzel Washington, Cary Elwes, Morgan Freeman
เข้าฉายในปี 1989

Dreamgirls

มาต่อกันที่หนังมิวสิคัล ที่เต็มไปด้วยบทเพลงสุดไพเราะเรื่องนี้เลย Dreamgirls เล่าถึงช่วงปลายยุค 60 เมื่อคณะนักร้องสาวผิวสีชื่อ The Dreamette ซึ่งมีสมาชิก 3 คนประกอบด้วย เอฟฟี่, ดีน่า และ ลอร์เรลล์ ได้ถูกเสนอโอกาสสำคัญในชีวิตโดย เคอร์ติส ผู้จัดการศิลปิน ซึ่งโอกาสพิเศษนี้คือ การให้พวกเธอได้เป็นนักร้องประสานเสียงแบ็ค อัพให้กับนักร้องดัง เจมส์ เออร์ลี่ ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อคณะเป็น The Dreams หลังจากที่วงเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังภายใต้การควบคุมของคอร์ติส แต่สิ่งที่สาวทั้ง 3 ไม่คาดคิดคือ ชื่อเสียงและความสำเร็จอาจจะแลกมาด้วยหลายสิ่งหลายอย่างที่มีค่าในชีวิตก็เป็นได้ พวกเขาจะต้องเจอกับอะไรบ้างเพื่อไปสู่จุดสูงสุด ไม่ดูไม่ได้แล้ว

ใครที่ชื่อชอบเสียงดนตรี และภาพยนตร์แนวมิวสิคัลน่า จะถูกใจไม่น้อยเลยสำหรับเรื่องนี้ ตัวหนังมีการดำเนินเรื่องที่กระชับและน่าติดตามมาก อีกทั้งยังเต็มไปด้วยเพลงเพราะๆตลอดทั้งเรื่อง ตัวหนังนั้นได้ตีแผ่ความยากลำบากของเหล่าศิลปินได้อย่างเอ็นเตอร์เทนและไม่เครียดจนเกินไป ผ่านบทเพลงที่ผลักดันอารมณ์ของตัวละคร อีกทั้งยังแฝงประเด็นในเรื่องของความเท่าเทียมทางเพศและสีผิวในระดับที่ไม่ดูยัดเยียดจนเกินไป ด้านการแสดงต้องบอกว่ายอดเยี่ยมจริงๆ โดยเฉพาะ เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน ในบทเอฟฟี่ ที่นอกจากจะได้แสดงพลังเสียงอันสุดยอดแล้ว ยังแสดงอารมณ์ได้ทรงพลังเช่นเดียวกัน ไม่น่าเชื่อเลยว่านี่คือภาพยนตร์เรื่องแรกของเธอ อีกทั้งยังเป็นนักแสดงเพียงไม่กี่คนที่ได้รับรางวัลออสการ์ในภาพยนตร์เรื่องแรกที่เล่น ซึ่งต้องบอกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เข้าชิงในเวทีออสการีถึง 6 สาขาเลยทีเดียว โดยชนะไป 2 สาขา ได้แก่ นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม และ ผสมเสียงยอดเยี่ยม ส่วนอีก 4 สาขาที่เข้าชิงคือ นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม เครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม และเพลงประกอบยอดเยี่ยม บอกเลยครับว่าเป็นอีกเรื่องที่ห้ามพลาด

ไฮไลท์ของเรื่อง: ฉากการแตกหักของเอฟฟี่และวงดรีมส์, ฉากดีน่าร้องเพลง ‘Listen’ และฉากการแสดงโชว์สุดท้ายสุดประทับใจ

กำกับโดย Bill Condon
นำแสดงโดย Jamie Foxx, Eddie Murphy, Beyoncé Knowles, Danny Glover, Jennifer Hudson
เข้าฉายในปี 2006

12 years a Slave

ปิดท้ายที่ภาพยนตร์คุณภาพ เจ้าของรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี 12 Years a slave เป็นเรื่องราวความยากลำบากของ โซโลมอน นอร์ทอัพ ชาวผิวดำผู้จบการศึกษาจากนิวยอร์คแต่โชคร้ายสุดขั้ว เนื่องจากถูกลักพาตัวและขายเป็นทาส ซึ่งนี่คือเรื่องราวตลอด 12 ปีในการเป็นทาสของเขา ซึ่งเขาต้องเผชิญความโหดร้ายมากมายตั้งแต่การถูกเหยียดหยามไปจนถึงการลุกขึ้นมาต่อสู้เรียงร้องเสรีภาพจากนายจ้างสุดโหด เขาจะสามารถหลุดจากนรกนี้ได้อย่างไร ต้องลองหามาชมครับ

นี่เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ดีแบบโคตรๆ ถึงขนาดที่ทุกคนควรได้ดูซักครั้งในชีวิต เนื่องจากเป็นภาพยนตร์ที่ตีแผ่ความโหดร้ายในชีวิตการเป็นทาสของคนดำได้อย่างตรงไปตรงมาและไม่ปรุงแต่ง ในขณะเดียวกันก็สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนดูผ่านชีวิตของตัวละครหลักที่พร้อมดิ้นรนต่อสู้กับความยากลำบากในชีวิต และการเรียกร้องสิทธิมนุษย์ ศักดิ์ศรี และเสรีภาพ การดำเนินเรื่องทำออกมาได้น่าติดตาม และทำให้คนดูเอาใจช่วยตัวละครหลักตั้งแต่ต้นจนจบ การแสดงก็เรียกได้ว่าแทบจะไร้ที่ติทุกคน ไม่น่าแปลกใจเลยที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 9 สาขา โดยชนะไป 3 สาขาซึ่งก็คือ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม และ บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม ส่วนอีก 6 สาขาที่เข้าชิงคือ ผู้กำกับยอดเยี่ยม นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ตัดต่อยอดเยี่ยม เครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม และออกแบบงานสร้างยอดเยี่ยมนั่นเอง

เพื่อนๆที่ยังไม่เคยดู บอกเลยว่าต้องดูซักครั้ง แต่นี่อาจจะไม่ใช่ภาพยนตร์ที่คุณจะอยากเปิดดูซ้ำหลายรอบเนื่องจากความหดหู่และความโหดร้ายของสิ่งที่เหล่าทาสคนดำต้องเผชิญในเรื่องนั่นเอง

ไฮไลท์ของเรื่อง: บทสนทนาระหว่างโซโลมอนกับซามูเอล และฉากการลาจากที่ดินของเอ็ดวิน

กำกับโดย Steve McQueen
นำแสดงโดย Chiwetel Ejiofor, Michael Fassbender, Benedict Cumberbatch, Paul Dano, Lupita Nyong’o, Paul Giamatti, Brad Pitt
เข้าฉายในปี 2013

Continue Reading
Advertisement ad-02-doosoft.jpg
Click to comment

You must be logged in to post a comment Login

Leave a Reply

Copyright © 2022 TOJO.NEWS

%d bloggers like this: