มีรายงานจากสื่อของปากีสถานว่า พลเอกเปอร์เวซ มูชาร์ราฟ อดีตประธานาธิบดีปากีสถาน นายพลระดับสี่ดาว ซึ่งปกครองปากีสถานมาอย่างยาวนานเกือบ 10 ปี หลังจากทำการรัฐประหารเมื่อปี 1999 ได้ถึงแก่อสัญกรรม แล้ว ที่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ด้วยวัย 79 ปี หลังจากมีอาการป่วยเรื้อรังมานาน ระหว่างการลี้ภัยมาอาศัยอยู่ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เมื่อหลายปีก่อน
ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของปากีสถาน อยู่นั้น มูชาร์ราฟ ได้รับการสนับสนุน
เป็นอย่างดีจากหลายฝ่าย รวมถึงการสนับสนุนจากสหรัฐฯ โดย มูชาร์ราฟ เป็นหนึ่งในพันธมิตรสำคัญที่สุดของสหรัฐฯ มีบทบาทในการต่อสู้กับเครือข่ายก่อการร้ายอัลกออิดะห์ โดยอนุญาตให้กองทัพสหรัฐฯ ใช้ปากีสถาน เป็นฐานปฏิบัติการส่ง โดรน ติดอาวุธ เพื่อโจมตีเป้าหมาย ผู้ก่อการร้าย ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายพันคน นอกจากนี้ มูชาร์ราฟ ยังต้องรับมือกับกลุ่มติดอาวุธอื่น ๆ จากความพยายามลอบสังหารอดีตผู้นำปากีสถาน ไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง
มูชาร์ราฟ มีส่วนสำคัญในการโน้มน้าวให้ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ผู้นำสหรัฐฯ
ในขณะนั้น ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่กองทัพปากีสถาน อย่างจริงจัง
ส่วนงานด้านนโยบายต่างประเทศ มูชาร์ราฟ มีความพยายามที่จะสถาปนาความสัมพันธ์ระดับปกติระหว่างอินเดียกับปากีสถาน โดยเฉพาะในกรณี แคชเมียร์ ซึ่งเป็นข้อพิพาทหลัก ระหว่างอินเดียกับปากีสถาน มายาวนาน จนเกือบจะแก้ไขปัญหาได้แล้วในยุคของ มูชาร์ราฟ แต่กระบวนการดังกล่าว
ก็ต้องหยุดชะงักลง หลังจาก มูชาร์ราฟ ก้าวลงจากอำนาจ
ภายใต้การนำของมูชาร์ราฟ การลงทุนจากต่างชาติในปากีสถาน เติบโตเป็นอย่างมาก ภาพรวมเศรษฐกิจของปากีสถาน เติบโตมากถึง 7.5% เป็นสถิติสูงที่สุดในรอบเกือบ 30 ปี ตามรายงานของธนาคารโลก
ปากีสถานจัดการเลือกตั้งตามแบบประชาธิปไตยครั้งแรกในรอบ 11 ปี เมื่อปี 2008 โดยในครั้งนั้น พรรคการเมืองในสังกัดของ มูชาร์ราฟ ประสบความพ่ายแพ้ มูชาร์ราฟ ถูกรัฐสภาปากีสถานดำเนินกระบวนการเพื่อถอดถอนออกจากตำแหน่ง มูชาร์ราฟ ตัดสินใจลาออก ลี้ภัยไปอยู่ที่กรุงลอนดอนของอังกฤษ
ปี 2013 มูชาร์ราฟ เดินทางกลับปากีสถาน และะยายามคืนสู่สนามการเมือง โดยลงสมัครสมาชิกรัฐสภา แต่ก็ถูกตัดสิทธิ์ ทำให้ มูชาร์ราฟ ต้องลี้ภัยอีกครั้ง ไปอยู่ที่นครดูไบ ของสหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ เมื่อปี 2016 พร้อมกับมีข่าวว่า มูชาร์ราฟ เริ่มล้มป่วยลงก่อนที่จะเสียชีวิตในเวลาต่อมา เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา