เมื่อ 49 ปีที่แล้ว ในวันที่ 27 มกราคมปี 2516 มีการลงนาม ข้อตกลงปารีส เพื่อยุติสงคราม
และฟื้นฟูสันติภาพในเวียดนาม ภายหลังการเจรจาทางการทูตที่ยาวนานถึง 4 ปี 8 เดือน ของตัวแทน 4 ฝ่าย
ได้แก่ รัฐบาลปฏิวัติเฉพาะกาลสาธารณรัฐภาคเวียดนามใต้ สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม สาธารณรัฐเวียดนาม และรัฐบาลสหรัฐ ภายใต้สัญญาดังกล่าว ทุกฝ่ายตกลงหยุดยิง สหรัฐฯ จะถอนทหารออกจากดินแดนเวียดนามทั้งหมดภายใน 60 วัน เวียดนามเหนือยอมส่งคืนเชลยศึกที่ถูกคุมขังทั้งหมด และเวียดนามเหนือกับใต้ ตกลงจะหาทางรวมประเทศอย่างสันติ
อย่างไรก็ตาม สองฝ่ายเหนือใต้ไม่อาจตกลงกันได้ในทางการเมือง และเวียดนามเหนือเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงสันติภาพ ส่งกองทัพลงทำสงครามในภาคใต้โดยตรงเป็นครั้งแรก จนในที่สุด ฝ่ายคอมมิวนิสต์เข้ายึดกรุงไซ่ง่อน เมืองหลวงของฝ่ายใต้ ได้ในวันที่ 30 เม.ย.2518 เป็นการสิ้นสุดสงคราม มีทหารอเมริกันเสียชีวิตกว่า 58,000 คน ชาวเวียดนามทั้งเหนือ และใต้ เสียชีวิตรวมกันประมาณ 3 ล้านคน.
การเซ็นสัญญาสันติภาพข้อตกลงปารีส ในปี 2516 ยังทำให้นายเฮ็นรี่ คิสซิงเจอร์ รัฐมนตรีต่างประเทศ
ของสหรัฐฯ กับนายเล ดึ๊ก เถาะ (Le Duc Tho) กรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม
ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของฝ่ายเวียดนามเหนือในการเจรจา ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปีนั้น
แต่ฝ่ายหลังไม่ยอมเดินทางไปรับ โดยให้เหตุผลว่า ประเทศเวียดนามของเขายังไม่มีสันติภาพ
การเจรจาเริ่มขึ้นในเดือน พ.ค.2511 ทั้งสองฝ่ายต่างคาดหวังว่าจะสามารถลงเอยกันได้โดยเร็ว
แต่ความไม่ลงรอยในหลายเรื่องทำให้การเจรจาหยุดชะงักเป็นพักๆ ยืดเยื้อต่อมาอีกเกือบ 5 ปี
และสองฝ่ายต่าง ก็ยอมรับในการใช้กลยุทธ์ “เจรจา รบ และเจรจา” โดยใช้ความได้เปรียบในสนามรบ
เป็นเครื่องมือต่อรองทางการทูต
เหตุการณ์สำคัญอย่างยิ่ง ที่ทำให้สองฝ่ายสามารถลงนามในสัญญาสันติภาพกันได้
ในวันที่ 27 ม.ค. 2516 ก็คือ การทิ้งระเบิดโจมตีกรุงฮานอย กับเมืองท่าหายฝ่อง ในเดือน ธ.ค.2515
ของสหรัฐฯ ไม่สามารถหยุดยั้งการรุกรานลงใต้ของฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้ อีกทั้งสหรัฐฯ
ยังสูญเสียเครื่องบินทิ้งระเบิดยุทธศาสตร์บี-52 ไปถึง 34 ลำ ในชั่วเวลาเพียง 12 วัน 12 คืน
ของยุทธการดังกล่าว อีกทั้งก่อนหน้านั้น ในตอนต้นปี สหรัฐฯ ไม่ประสบความสำเร็จในการสู้รบ
เพื่อตัดเส้นทางลำเลียงขนส่งของฝ่ายคอมมิวนิสต์ตาม“เส้นทางโฮจิมินห์” ที่ตัดผ่านเข้าดินแดนลาว
ลงสู่ดินแดนกัมพูชา ก่อนที่จะวกเข้าสู่ภาคใต้เวียดนาม และทุกฝ่าย รวมทั้งฝ่ายเวียดนามเหนือ
ต่างสูญเสียอย่างหนัก ในการทำสงครามเพื่อชิงทางหลวงเลข 9 กับ สงครามในดินแดนลาว
ในช่วงปีดังกล่าว รัฐบาลประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ของสหรัฐฯเอง ก็กำลังเผชิญแรงกดดัน
อย่างหนักภายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ การเดินขบวนต่อต้านสงครามเวียดนามที่ขยายวง
ออกไปทั่วประเทศ และทั่วโลก ทำให้สหรัฐฯ ต้องถอนทหารออกจากเวียดนาม ครั้งแล้วครั้งเล่า
ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเจรจาทางการทูตด้วย
สำหรับเวียดนาม การเจรจาสันติภาพกรุงปารีส ถือเป็นชัยชนะครั้งสำคัญ และยังเป็นการสร้าง
นักการทูตเข้าสู่ยุคใหม่ โดยเฉพาะการเปิดตัวนาง เหงียน ถิ บินห์ (Nguyen Thi Binh)
ในฐานะรัฐมนตรีต่างประเทศของรัฐบาลปฏิวัติเฉพาะกาลที่ฝ่ายเวียดนามเหนือจัดตั้งขึ้น
เข้านำการต่อสู้กับสหรัฐฯ และฝ่ายใต้ ได้กลายเป็นนักการทูตสตรี
ชาวเวียดนามคนแรกที่รู้จักกันไปทั่วโลก
ภาพจาก
https://www.cvce.eu/
AFP/Getty Image
ข้อมูลจาก
วันนี้ 40 ปีก่อน เซ็นสัญญาสันติภาพปารีส นับถอยหลังสงครามเวียดนาม (mgronline.com)