Connect with us

News

หากไม่ปรับตัวตาม ESG ธุรกิจอาจถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง | O2O

Published

on

อ่านข่าวนี้บน O2O แปลจาก Sustainism Initiatives (stnsm.org)

“เราเคยถามลูกค้าหรือคู่ค้าของเราบ้างไหมว่า…
องค์กรของท่านมีนโยบาย ESG หรือแนวปฏิบัติด้านความยั่งยืน
ที่ต้องการให้เราปรับตัวหรือปฏิบัติตามหรือไม่?”

ESG (Environmental, Social, Governance) ได้กลายเป็นกติกาใหม่ของเศรษฐกิจโลก โดยไม่ใช่เพียงแนวคิดความยั่งยืนทั่วไปอีกต่อไป แต่เป็น มาตรฐานขั้นต่ำ (minimum standards) ที่ธุรกิจทุกขนาดต้องปฏิบัติตาม หากหวังจะอยู่รอดในห่วงโซ่อุปทานโลก ทั้งรัฐบาล นักลงทุน และพันธมิตรทางการค้าต่างใช้ ESG เป็นเกณฑ์ประเมินความน่าเชื่อถือและความเสี่ยงขององค์กรอย่างเข้มข้น ตัวอย่างเช่น งานวิจัยพบว่า 77% ของ SME ทั่วโลกให้ความสำคัญกับความยั่งยืนอย่างมาก ขณะที่กฎหมายยุโรป (EU) ด้านความยั่งยืน เช่น CSRD และ CSDDD กำหนดให้บริษัทขนาดใหญ่ต้องรายงานข้อมูล ESG ครอบคลุมห่วงโซ่อุปทาน ทั้งหมดผลักดันให้ ESG กลายเป็น “ปัจจัยเชิงธุรกิจ” ที่เลี่ยงไม่ได้. หากธุรกิจใด “เพิกเฉย” ต่อมาตรฐานเหล่านี้ ย่อมถูกมองว่ามีความเสี่ยงในเชิงสิ่งแวดล้อม สังคม หรือธรรมาภิบาล และจะเผชิญกับผลกระทบตั้งแต่ระดับการปฏิบัติการไปจนถึงการเข้าถึงตลาดและเงินทุน

หากลูกค้าทำ ESG แล้ว… เราพร้อมจะเป็น ‘ส่วนหนึ่ง’ ในภาพความยั่งยืนนั้นหรือยัง?

เรารู้หรือยังว่า ลูกค้าใช้เกณฑ์อะไรในการคัดเลือกคู่ค้าให้ผ่าน ESG?

เรามีอะไรเป็นหลักฐาน หรือแผนงาน ที่จะทำให้ลูกค้าเชื่อว่าเราคือพันธมิตรที่ไว้ใจได้ในระยะยาว?

หากลูกค้าให้แบบฟอร์ม หรือเช็กลิสต์ด้าน ESG มา… เรามีข้อมูลอะไรตอบเขาได้บ้าง?

เราเคยตรวจสอบหรือเปรียบเทียบมาตรฐานของตัวเองกับความคาดหวังของลูกค้าหรือไม่?

เรา “ต้องเห็น” ภาพรวมของ ESG เพราะมันคือกติกาใหม่ของเศรษฐกิจโลก ไม่ใช่เรื่องของแค่ฝ่าย CSR หรือภาพลักษณ์อีกต่อไป หากธุรกิจไม่เข้าใจว่า ESG คืออะไร เกิดขึ้นจากอะไร ใครเป็นผู้กำหนด และส่งผลกระทบต่อใครอย่างไร เราจะไม่มีทางปรับตัวได้ทันในวันที่ถูกประเมิน ถูกปฏิเสธ หรือหลุดจากห่วงโซ่อุปทานโดยไม่รู้ตัว การไม่ทำ ESG ไม่ได้กระทบแค่บริษัทเรา แต่ส่งผลถึงพนักงาน คู่ค้า ลูกค้า และภาพรวมของประเทศ โดยเฉพาะเมื่อผู้ซื้อ นักลงทุน และตลาดโลกต่างใช้ ESG เป็นตัวตัดสินว่าใคร “คู่ควร” กับการร่วมธุรกิจในอนาคตหรือไม่ — หากเราไม่เห็นภาพรวมวันนี้ เราอาจไม่มีพื้นที่ยืนในระบบเศรษฐกิจพรุ่งนี้

การเพิกเฉยต่อ ESG ไม่เพียงแต่เป็นการละเลยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการเปิดประตูสู่ความเสี่ยงในทุกมิติของการดำเนินธุรกิจ ทั้งในระดับรายย่อยและรายใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาตลาดและการลงทุนจากต่างประเทศ

  1. ผลกระทบต่อธุรกิจรายย่อย (SMEs)
    ธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SME) ในไทย เช่น ผู้ผลิตอาหาร แปรรูปสินค้าเกษตร หรือบริการสนับสนุน มักอยู่ในบทบาท ต้นน้ำซัพพลายเชน ของผู้ซื้อรายใหญ่ หากไม่ปรับตัวสู่แนวทาง ESG ผลกระทบจะเห็นได้ชัดเจนโดยเร็ว ดังนี้

    ถูกตัดออกจากซัพพลายเชน – องค์กรขนาดใหญ่ที่ซื้อสินค้าและบริการจะคัดกรองซัพพลายเออร์ที่ปฏิบัติตามมาตรฐาน ESG เท่านั้น งานวิจัยระดับโลกชี้ว่า เมื่อซัพพลายเออร์ตกเป็นข่าวเหตุการณ์สิ่งแวดล้อมหรือสังคม ลูกค้ารายใหญ่ถึงกับลดปริมาณการนำเข้าสินค้าจากซัพพลายนั้นราว 30% (บางงานวิจัยพบสูงถึง 31.8%) หาก SME ไม่ปรับปรุงกระบวนการผลิตหรือการจ้างงานให้ยั่งยืน อาจถูกเพิกเฉยไม่ให้เป็นคู่ค้าหลัก ยิ่งในตลาดส่งออก การได้รับการรับรอง ESG เป็นหนึ่งในเงื่อนไขสำคัญ จึงมีโอกาสสูงที่ไม่ผ่านการคัดเลือก

    เข้าถึงทุนและตลาดได้ยาก – สถาบันการเงินและนักลงทุนระดับโลกถือ ESG เป็นตัวชี้วัดความน่าเชื่อถือ ธนาคารหรือกองทุนลงทุนมักพิจารณาธุรกิจที่แสดงความรับผิดชอบต่อ ESG เป็นหลัก หาก SME ไม่แสดงหลักฐานเหล่านี้ มีโอกาสสูงที่จะถูกปฏิเสธสินเชื่อหรือการลงทุน วงเงินถูกจำกัด และพลาดโอกาสสนับสนุนจากแหล่งเงินทุนระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ตลาดผู้บริโภคยุคใหม่ในไทยเองก็ใส่ใจ ESG มากขึ้น ทั้งผู้บริโภคทั่วไป (เฉพาะกลุ่ม Millennial/Gen Z พร้อมจ่ายเพิ่มเพื่อสินค้าที่ยั่งยืน) จึงตกอยู่ในภาวะ แข่งขันด้อย – ขาดนวัตกรรมสีเขียวและตราสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลูกค้าหันไปรองรับสินค้าจากคู่แข่งที่ยั่งยืนกว่า ในสรุป: สิ่งที่เคยถูกมองว่า “เสริม” ปัจจุบันกลายเป็นสิ่ง “จำเป็นระดับชีวิต” ของธุรกิจ SME แล้ว
  2. ผลกระทบต่อธุรกิจรายใหญ่ในประเทศ
    บริษัทขนาดใหญ่ในไทย โดยเฉพาะกลุ่มส่งออก เช่น อุตสาหกรรมอาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ พลังงาน ฯลฯ หาก ไม่บริหารจัดการซัพพลายเชนตามมาตรฐาน ESG จะเผชิญความเสี่ยงสำคัญหลายประการ:
    ละเมิดกฎระเบียบสากล – ยุโรปและสหรัฐฯ ออกกฎหมายเข้มงวดเรื่องแรงงานและสิ่งแวดล้อม เช่น กฎ Forced Labour Regulation ของ EU บังคับห้ามนำเข้าสินค้าทุกชนิดที่ถูกผลิตด้วยแรงงานบังคับ ไม่ว่าจะเกิดในประเทศใดในห่วงโซ่ หากตรวจพบว่าซัพพลายเออร์ใช้แรงงานบังคับ สินค้าจะถูก แบนจากตลาด EU ทันที. ภาครัฐไทยเองยังระบุว่า EU EUDR (Deforestation Regulation) จะตรวจสอบสินค้า 7 กลุ่มหลักจากไทย (ปศุสัตว์ ไม้ ผลปาล์ม ถั่วเหลือง กาแฟ โกโก้ ยางพารา) ว่าเชื่อมโยงกับการทำลายป่าหรือไม่ ผลคือผลิตภัณฑ์ไทยในกลุ่มอาหารและเกษตรต้องมีเอกสารรับรองต้นทางอย่างเข้มงวด มิฉะนั้นจะถูกเพิกถอนสิทธิทางการค้า

    ถูกกดดันจากนักลงทุนและสังคม – กองทุนใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ (เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญยักษ์ กองทุนรวมประกัน) ผนวกปัจจัย ESG เข้ากับกระบวนการตัดสินใจลงทุนจนถึงการใช้สิทธิผู้ถือหุ้นกดดันบริษัท หากบริษัทไม่ตอบสนองต่อข้อกังวลด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม ทุนอาจถูกถอนหรือถูกคว่ำบาตรทางการเงินทันที. ยกตัวอย่างเหตุการณ์ในปี 2025 สหรัฐฯ สั่งจำกัดวีซ่าต่อเจ้าหน้าที่ไทยหลายคน กรณีเกี่ยวกับการส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับจีน ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุเป็นการ “บังคับส่งกลับผู้ลี้ภัยอุยกูร์สู่การถูกทรมานและทำให้สูญหาย” แม้จะเป็นกรณีรัฐบาล แต่สะท้อนว่าในสายตานักลงทุนและสังคมโลก หากเกิดเหตุละเมิดเช่นนี้ขึ้น ธุรกิจไทยที่เกี่ยวข้องก็ถูกตีตราความเสี่ยงทันที

    ถูกปฏิเสธโดยพันธมิตรต่างชาติ – ลูกค้าและพันธมิตรระหว่างประเทศ (เช่น คู่ค้าสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น) ในปัจจุบันกำหนดเงื่อนไขคุณธรรมและความรับผิดชอบทางสังคมในการเข้าเป็นซัพพลายเชนอย่างเข้มงวด. หากบริษัทไทยไม่สามารถรับรองการปฏิบัติตามข้อกำหนด ESG เหล่านั้น อาจพลาดโอกาสเป็นคู่ค้าสำคัญ หรือถูกกีดกันไม่ให้เข้าร่วมประมูลงานหรือความร่วมมือระหว่างประเทศ. ในภาพรวมแล้ว นับวันธุรกิจขนาดใหญ่จะ “เฉยชา” กับ ESG ไม่ได้อีกต่อไป เพราะอาจย้อนกลับมาส่งผลเสียต่อธุรกิจหลัก ทั้งด้านสิทธิการค้าและความเชื่อมั่นจากนักลงทุน
  3. ตัวอย่างกรณีศึกษาและบทเรียนจากอดีต
    อุตสาหกรรมอาหารและเกษตรไทย ปัญหาแรงงานบังคับในซัพพลายเชนกุ้งของไทยเป็นบทเรียนสำคัญ เมื่อหลายปีก่อน NGO พบการใช้แรงงานบังคับในโรงงานกุ้ง ส่งผลให้สหรัฐฯ และ EU เรียกร้องห้ามนำเข้ากุ้งไทย. EU จึงระงับสิทธิโปรแกรม GSP ของไทยกับสินค้ากุ้ง ส่งผลให้ภาษีนำเข้ากุ้งจากเดิม 4.2% ถูกเพิ่มเป็น 12% ทันที ภาคอุตสาหกรรมกุ้งไทยต้องแบกรับต้นทุนภาษีเพิ่มสูง และเสียส่วนแบ่งตลาดยุโรปลงมาก (คาดว่าสัดส่วนลดจาก 20-25% เหลือ ~5% ของตลาด EU) กรณีนี้ชัดเจนว่า หากไม่จัดการปัญหาแรงงานหรือปัญหา ESG ต้นทาง อาจสูญเสีย สิทธิประโยชน์ทางการค้า หรือถูกตัดขาดจากตลาดส่งออกโดยตรง

    ตัวอย่างต่างประเทศ บริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ในยุโรปและสหรัฐฯ เริ่มใช้งานซัพพลายเชนอย่างเคร่งครัด เช่น สหภาพยุโรปออกกฎห้ามนำเข้าสินค้าทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับแรงงานบังคับ (เหมือนกรณีข้างต้น) หรือกฎ Deforestation Regulation กำหนดห้ามนำเข้าอาหารและสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำลายป่า. หากตรวจพบการละเมิดเพียงแค่ชิ้นเดียว อาจถูกบังคับเก็บภาษีเพิ่มหรือห้ามนำเข้าสินค้า ทันที (รวมถึงสินค้าเกี่ยวกับปาล์ม น้ำมัน ป่าไม้ ยางพารา โกโก้ ฯลฯ) นอกจากนี้ ข่าวแรงงานอุยกูร์ในจีนก็ทำให้นักลงทุนทั่วโลกกดดันแบรนด์แฟชั่นอย่าง H&M หรือ Nike ที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง สะท้อนว่า ความโปร่งใสซัพพลายเชน คือเงื่อนไขที่ไม่อาจละเลยได้ – หุ้นร่วง นักลงทุนถอนตัว และแรงกดดัน ESG เข้มข้นทันทีกับบริษัทที่ถูกจับไต๋
  4. กฎหมายและแรงกดดันจากระบบสากล
    เงื่อนไขจากต่างประเทศและนักลงทุนสถาบันทั่วโลกตอกย้ำว่าการเพิกเฉยต่อ ESG ไม่ใช่ทางเลือก
    กฎหมายระหว่างประเทศเข้มข้น สหภาพยุโรปบังคับใช้กฎ Forced Labour Regulation ห้ามสินค้าทุกชนิดที่ใช้แรงงานบังคับเข้าสู่ตลาด EU โดย EU Deforestation Regulation กำหนดให้ต้องตรวจสอบความเชื่อมโยงของสินค้าเกี่ยวกับการทำลายป่า (เช่น ปาล์ม ยางพารา) ก่อนนำเข้าในสหรัฐฯ มีมาตรการคล้ายกัน (UFLPA ban) ที่ห้ามนำเข้าสินค้าที่ผลิตด้วยแรงงานอุยกูร์. ขณะเดียวกัน ยังมีแนวคิดใหม่ๆ เช่น กฎเปิดเผยความเสี่ยง ESG ของ SEC (สหรัฐ) และ CSRD ของ EU ที่กำลังจะบังคับใช้. ทุกกฎหมายเหล่านี้มุ่งผลักให้บริษัทต้องเปิดเผยและจัดการความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ ทรัพยากร และสิทธิมนุษยชนอย่างเข้มงวด

    นักลงทุนสถาบันยึด ESG เป็นเกณฑ์หลัก ธนาคารและกองทุนระดับโลก เช่น BlackRock, Temasek, Norges Bank ฯลฯ ต่างผนวก ESG ในกลยุทธ์ลงทุน. กองทุน Decarbonization Partners ของ BlackRock-Temasek ลงทุนในเทคโนโลยีลดคาร์บอน เพื่อเร่งเงินทุนไหลเข้าสินทรัพย์ที่ยั่งยืน รายงานต่างๆ พบว่าบริษัทที่มีคะแนน ESG สูงมักได้รับการจัดหาเงินทุนดอกเบี้ยต่ำกว่า (เช่น รายงานวิเคราะห์โดย MSCI พบบริษัท ESG ดี ได้ดอกเบี้ย ~6.8% ขณะที่คู่แข่งทั่วไป ~7.9% อีกทั้งสถาบันการเงินมักสนับสนุนธุรกิจที่มีการตรวจสอบรับรองครบถ้วนเท่านั้น. ความคาดหวังของนักลงทุนที่ต้องการข้อมูล ESG ถูกส่งต่อจนถึงผู้ผลิตรายเล็กในห่วงโซ่ด้วย
  5. กลไกการรับรองและยอมรับระดับสากล
    หนทางสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจไทยเข้าตลาดโลกได้ คือการ รับรองมาตรฐานสากล และเข้าสู่เวทีความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น
    การรับรองมาตรฐาน – เช่น มาตรฐาน ISO ช่วยยืนยันการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ISO 14001, ISO 26000 ฯลฯ). หน่วยงานของไทยอย่าง MASCI (Management System Certification Institute) ทำหน้าที่รับรองระบบบริหารตามมาตรฐานเหล่านี้. ล่าสุด MASCI ได้รับการรับรองจาก STNSM.org (Sustainism) ในฐานะพันธมิตรอย่างเป็นทางการด้านการตรวจรับรองความยั่งยืนระดับภูมิภา​ค ซึ่งชี้ให้เห็นว่าองค์กรไทยมีบทบาทและความน่าเชื่อถือในการวางมาตรฐาน ESG. การได้รับการรับรองเหล่านี้ ช่วยให้ลูกค้าต่างชาติมั่นใจได้ว่ากระบวนการผลิตและการบริหารงานของไทยสอดคล้องกับแนวทางสากล

    การยอมรับในเวทีระหว่างประเทศ – การใช้มาตรฐานสากล (เช่น ISO) ทำให้สินค้าหรือบริการของไทยผ่านการรับรองในเชิงการค้าระหว่างประเทศได้ง่าย เช่น เมื่อบริษัทได้รับการรับรองระบบจัดซื้อหรือบริหารจัดการพลังงานตามมาตรฐานสากล จะได้รับการยอมรับจากหุ้นส่วนต่างชาติ อาทิ การเข้าเป็นซัพพลายเออร์ให้โครงการระหว่างประเทศ หรือตลาดการค้าระดับภูมิภาค. พันธมิตรต่างชาติและองค์กรระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ มีการสนับสนุนกลไกความร่วมมือ (เช่น STNSM Sustainability Services) ที่ช่วยเชื่อมโยงธุรกิจไทยกับตลาดโลกผ่านมาตรฐาน ESG
  6. กลไกการลงทุนจากต่างประเทศ
    นักลงทุนต่างชาติใช้ ESG เป็นกลไกหลักในการตัดสินใจเดินเงินอย่างต่อเนื่อง: บริษัทที่แสดงความรับผิดชอบด้าน ESG ชัดเจน จะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนได้ง่ายกว่า. ตัวอย่างเช่น รายงานพบว่าบริษัทที่มีการจัดลำดับ ESG สูง สามารถเข้าถึงสินเชื่อและตราสารทุนด้วยต้นทุนทางการเงินที่ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ธนาคารระหว่างประเทศและกองทุนใหญ่ต่างชื่นชมบริษัทที่มีการรับรองด้าน ESG และมีรายงานความยั่งยืนครบถ้วน เช่น กองทุน NYP (Norges Bank), สถาบันทางการเงินจีน-ฮ่องกง, และธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ก็พิจารณาปัจจัยเหล่านี้ก่อนปล่อยกู้หรือร่วมลงทุนในโครงการต่างๆ. ในทางกลับกัน ธุรกิจที่ไม่สามารถแสดงหลักฐาน ESG ที่น่าเชื่อถือ โดนคัดออกจากฐานลูกค้ารายใหญ่หรือลดโอกาสได้รับสินเชื่อจากสถาบันรายใหญ่ได้โดยง่าย

ESG ไม่ใช่คลื่นลูกใหม่ที่รอให้คุณเลือก แต่เป็น “คลื่นที่พัดพาธุรกิจที่ไม่ปรับตัวให้จมหายไปจากเวทีโลก”—หากลูกค้าของคุณวางเป้า Net Zero ปี 2030 แต่คุณยังไม่มีแม้แต่แผน ESG ขั้นต้น คุณคือจุดอ่อนของระบบที่เขาจะต้องตัดทิ้งโดยไม่มีทางเลือก ธุรกิจรายใหญ่ในประเทศกำลังถูกตรวจสอบและคัดกรองจากต่างชาติแล้ววันนี้ และ SME ที่เป็นซัพพลายเชนจะถูกเชือดตามมาแบบไม่มีโอกาสตั้งตัว เพราะ ESG ไม่สามารถสร้างได้ภายในวันสองวัน แต่ต้องใช้เวลา พัฒนา และรับรองให้ชัดเจน ธุรกิจที่เมินเฉยกำลังเดินเข้าสู่ทางตัน ขณะที่ผู้ที่เริ่มลงมือสร้างระบบ ESG อย่างจริงจังในวันนี้ กำลังสร้างอนาคตที่มั่นคงและเหนือคู่แข่งอย่างถาวร—โลกไม่ได้รอคนที่ยังไม่เริ่ม แต่โลกให้เวทีกับคนที่ลงมือแล้ว.


สอบถามการเข้าร่วมงานหรือติดต่อเข้าร่วมคอมมูนิตี้ธุรกิจจาก O2O

เข้าร่วมคอมมูนิตี้ของเรา
Website : o2oforum
Facebook : o2oforum
Community : o2oforum
Line : @o2oforum
Subscribe : o2oforum
Tel : 0970344225, 0970347554, 0970343220

Continue Reading
Advertisement ad-02-doosoft.jpg
Advertisement QK6ZtN.png

Copyright © 2022 TOJO.NEWS

%d bloggers like this: