เวลาไปฟิตเนสหรือสนามกีฬา เรามักเห็นบางคนยืดเหยียด (Stretching) ก่อนเล่น บางคนทำหลังเล่น หรือบางคนก็ไม่ทำเลย หลายคนจึงสงสัยว่า จริง ๆ แล้วการ Stretching จำเป็นไหม และควรทำตอนไหน?
1. Stretching คืออะไร
Stretching คือการยืดกล้ามเนื้อเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อและเส้นเอ็น แบ่งหลัก ๆ ได้เป็น 2 แบบ
- Dynamic Stretching: การยืดแบบเคลื่อนไหว เช่น หมุนแขน ก้าวยาว ๆ → เหมาะกับ “ก่อนออกกำลัง”
- Static Stretching: การยืดค้างไว้กับที่ เช่น ก้มแตะปลายเท้า ค้าง 20–30 วินาที → เหมาะกับ “หลังออกกำลัง”
2. Stretching ก่อนออกกำลังกาย
- ช่วยให้กล้ามเนื้อและข้อต่อ “ตื่นตัว”
- ลดความเสี่ยงบาดเจ็บ เช่น กล้ามเนื้อฉีกหรือตะคริว
- กระตุ้นการไหลเวียนเลือดไปยังกล้ามเนื้อที่กำลังจะใช้งาน
- ควรใช้ Dynamic Stretching ร่วมกับการวอร์ม เช่น วิ่งเบา ๆ 5 นาที + ก้าวยาว ๆ
3. Stretching หลังออกกำลังกาย
- ช่วยให้กล้ามเนื้อที่หดเกร็งจากการใช้งานค่อย ๆ ผ่อนคลาย
- ลดความตึงตัวและอาการเมื่อยล้าในวันถัดไป
- เพิ่มความยืดหยุ่นในระยะยาว (Flexibility)
- ใช้ Static Stretching เช่น ท่ายืดต้นขา ยืดหลัง ก้มแตะปลายเท้า
4. ถ้าไม่ทำ Stretching เลยจะเป็นยังไง?
- อาจไม่ได้บาดเจ็บทันที แต่ระยะยาวร่างกายจะมีความตึงตัวสูง ข้อต่อเคลื่อนไหวไม่เต็มมุม
- กล้ามเนื้อฟื้นตัวช้ากว่า → เสี่ยง DOMS (Delayed Onset Muscle Soreness) หนักขึ้น
- ความสามารถด้านกีฬา เช่น การวิ่ง กระโดด หรือเล่นบาส จะไม่เต็มประสิทธิภาพ
5. แนวทางที่ควรทำ
- ก่อนออกกำลัง → วอร์ม 5 นาที + Dynamic Stretching
- หลังออกกำลัง → Cool Down ด้วยการเดินเบา ๆ 5 นาที + Static Stretching
- เวลาที่เหมาะสม: อย่างน้อย 10–15 นาที รวมวอร์มและยืดเหยียด
สรุป
Stretching เป็นเหมือน “การดูแลกล้ามเนื้อและข้อต่อ” ถ้าทำสม่ำเสมอจะช่วยลดการบาดเจ็บ ฟื้นตัวไว และเพิ่มประสิทธิภาพการออกกำลังได้จริง จึงไม่ควรมองข้ามทั้งก่อนและหลังการเล่นกีฬา
อย่าลืมกดติดตาม Tojo News เพื่อพบกับข่าวสาร และบทความใหม่ ๆ จากเรา
Line Today TOJO NEWS , ToJoNews
#โตโจนิวส์ #TOJONEWS #สำนักข่าวโตโจนิวส์ #สุขภาพ #ยืดเหยียด