ตอนที่ เดวิด เบ็คแฮม ย้ายไปเล่นฟุตบอลที่เมเจอร์ ลีก ซ็อคเกอร์ กับทีม แอลเอ กาแล็กซี เมื่อปี 2007 เค้าถูกมองว่ากำลังถอยหลังลงคู
แน่นวลค่ะว่าถ้ามองผ่านอายไลน์เนอร์ในแง่มุมของฟุตบอลเพียวๆ ก้อต้องมองว่า เฮียเบ็ค เดินเข้าสู่ความเสื่อมถอยของการเป็นนักฟุตบอลอาชีพระดับสูง ทั้งที่มีวัยเพียงแค่ 32 ปี จนทำให้แทบจะจบชีวิตกับทีมชาติอังกฤษไปด้วยเลย
แต่ถ้าเราจะมองว่า เดวิด เบ็คแฮม กับบทบาทนักธุรกิจในวัย 32 ปีล่ะคะ เราจะเรียกช่วงเวลานั้นว่าอะไรยังไงกันดี
ในตอนนั้นเรามองแค่ เฮีย กับ เมียเฮีย คงสนใจการไปต่อยอดธุรกิจที่อเมริกา ซึ่งมันจะกว้างไกลกว่าที่สเปน และ อังกฤษ
ว่ากันว่านะคะ มีหลายคนขำที่ เฮียเบ็ค ยอมไปรับค่าเหนื่อยที่ลดลงจากค่าแรงราว 325,000 ปอนด์/สัปดาห์ จาก เรอัล มาดริด
มาเป็นรับค่าแรงสูงสุดของลีกในสมัยนั้นราว 98,000 ปอนด์/สัปดาห์ กับ แอลเอ กาแล็กซี สโมสรที่เด็ก 10 ขวบหลายคนยังต้องร้องว่าอิหยังวะ
เพราะในตอนนั้นเคยมีการสำรวจจากชาวอเมริกันชนที่สนใจกีฬาต่างๆ ของประเทศ พบว่า Soccer มีคนสนใจตั้ง 2%
จนขนาดท่านอดีตประธานสโมสรเรอัล มาดริด ที่ชื่อ รามอน กัลเดรอน เคยแซะการย้ายทีมในตอนนั้นว่า “เบ็คแฮมคงอยากย้ายอาชีพไปเป็นครึ่งนักบอล-ครึ่งดาราฮอลลีวูด เพราะคงไม่มีสโมสรใดสนใจจะจ้างเค้าในรูปแบบนั้น นอกจากที่อเมริกา”
⚽️⚽️⚽️
แต่ใครจะไปรู้ว่าในเงื่อนไขรายละเอียดปลีกย่อยมากมายในสัญญานั้น มันผ่านการกลั่นกรองมาจาก เฮีย เจ้วิก และ ทีมงานธุรกิจของเฮียแบบเนียนๆ
ไล่มาตั้งแต่ส่วนแบ่งจากการขายเสื้อหมายเลข 23, ส่วนแบ่งค่าตั๋ว, สินค้าอื่นๆ อย่าง เบียร์ หรือ ฮอทดอก รวมทั้งภาพลักษณ์ทางการค้า และ ส่วนแบ่งจากรายได้ของสโมสร ซึ่งคิดแล้วตกปีละ 50 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ รวม 5 ปี = 250-255 ล้านเหรียญสหรัฐ
ซึ่งในยุคนั้นยังไม่มีใครที่ได้รับค่าเหนื่อยเกิน 400,000 ปอนด์/สัปดาห์ ไม่ว่าจะเก่งมาจากไหนก้อตาม แต่ เฮียของเรา รับไปเบาๆ แค่ 980,000 $/สัปดาห์ แค่นั้นเอ๊งงงงง
นั่นแค่เริ่มต้นนะคะ
เพราะว่ารายได้ของเฮียยังมีแฝงอยู่ในสัญญาฉบับนั้น อย่างที่มิสต้องบอกว่าเป็นการดีลที่ฉลาดค่อดๆ
เฮียทำสัญญาไว้ว่า ถ้าในอนาคตเฮียจะทำทีมฟุตบอลใน MLS เฮียสามารถจ่ายค่าสมัครเพียงแค่ 25 ล้านเหรียญสหรัฐ
ซึ่งในปี 2019 ทีมเซนต์หลุยส์ ต้องจ่ายค่าสมัครราว 200 ล้านเหรียญสหรัฐ และ ทีมชาร์ลอตต์ เสียค่าสมัครราว 325 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปีต่อมา
แต่ อินเตอร์ ไมอามี ทีมของเฮียนำสิทธิ์ที่ทำเอาไว้ออกมาใช้ จึงจ่ายไปแค่ 25 ล้านบริบูรณ์ โดยหลังจากที่เฮียเลิกเล่นฟุตบอล ทีมในเมเจอร์ ลีก ก้อมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีก 7 ทีม ทางเมเจอร์ลีกจึงรับทรัพย์สินจากค้าสมัครแบบสบายไต
นี่คือการมองไกลที่ถือว่ามองขาดมากๆ เพราะว่าเมื่อตอนปี 2006 MLS มีจำนวนคนดูเพิ่มขึ้นทันที 15% หลังการมาของเฮีย และ เพิ่มขึ้นเป็น 40 % ในยุคปัจจุบัน ซึ่ง DB23 คือส่วนสำคัญที่แท้ทรู
แถมค่าลิขสิทธิ์ทางทีวีเมื่อปี 2006 ที่เคยแพงสุดที่ 8 ล้านเหรียญสหรัฐ ได้เพิ่มมาเป็น 250 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อ แอปเปิล ทีวี เข้ามาถือสิทธิ์ถ่ายทอดสดในปี 2022 หรือ เพิ่มขึ้น 3,025%
ในส่วนของค่าแฟรนไชส์ของ MLS เมื่อปี 2008 มีมูลค่า 37 ล้าน ปัจจุบันมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 582 ล้านเหรียญสหรัฐ
แอลเอ กาแล็กซี จึงต้องถือว่าเป็นทีมที่มีบุญคุณต่อลีกที่นี่ เพราะพวกเค้าเสี่ยงที่จะลงทุน โดยมีการช่วยเหลือจาก MLS ในเรื่องลิขสิทธิ์บางประการที่ถูกกฎหมาย
การลงทุนให้ เดวิด เบ็คแฮม 255 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในระยะเวลา 5 ปี มันจึงเป็นการคุ้มกำไรของทั้งเฮีย, แอลเอ และ เมเจอร์ลีก
เพราะเม็ดเงินจากสปอนเซอร์ของแต่ละสโมสร, จากค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด และ จากฐานคนดูที่เพิ่มขึ้นมากมาย สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้ธุรกิจฟุตบอลของสหรัฐอเมริกาแบบก้าวกระโดด
สำหรับ อินเตอร์ ไมอามี ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2018 และ เข้าร่วมการแข่งขันในลีกเมื่อปี 2020 เฮียในฐานะเจ้าของสโมสรลงทุนในค่าสมัคร 25 ล้าน สร้างสนามแข่ง DRV PNK Stadium ความจุ 18,000 คน อีก 60 ล้านเหรียญ ค่าเหนื่อยรวมๆ อีกไม่เกิน 25 ล้านเหรียญต่อปี
ปัจจุบันมูลค่าสโมสรอยู่ที่ 585 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือว่าแพงสุดในอันดับที่ 10 ของลีกแห่งนี้
ใครหลายคน รวมทั้งมิสเองที่แค่มองว่า เดวิด เบ็คแฮม ไปเล่นฟุตบอลที่อเมริกาเพื่ออนาคตการทำธุรกิจ
จึงต้องปรบมือในจังหวะ 12 123 12 12 1 ให้กับการมองไกลไปถึงระดับของซูเปอร์ดีลที่ซ่อนเอาไว้ภายใต้สัญญาฉบับนั้น
แล้วเมื่อมองไปว่าถ้าปี 2007 สัญญาลับต่อปีมูลค่า 50 ล้านเหรียญสหรัฐของ เบ็คแฮม คือความซับซ้อนซ่อนรูป
นั่นจึงทำให้มิสอดระแวงไม่ได้ว่า สัญญาต่อปีมูลค่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐของ คริสติอาโน โรนัลโด จะมีอะไรรวยๆ ซ่อนอยู่ในนั้นแบบที่เราน่าจะสอดรู้อีกมั้ยนะคะ
มิสมาต้า