ที่นำไปสู่การพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมนานาอารยะประเทศเพียงครั้งเดียว นั่นคือการปฏิรูปประเทศในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราช รัชกาลที่ 5 นับเป็น “The First Great Reform” ซึ่งเป็นผลมาจากภัยคุกคามจากลัทธิล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก ประกอบกับวิสัยทัศน์และพระปรีชาสามารถของพระองค์ ทำให้บ้านเมืองเกิดความเป็นปึกแผ่น เกิดการสร้างรัฐชาติไทยที่เข้มแข็ง มีการเลิกทาส การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนการนำเทคโนโลยี วิทยาการ และการบริหารจัดการที่นำสมัยจากต่างประเทศ มาประยุกต์ให้เหมาะกับบริบทของประเทศไทย
อาจกล่าวได้ว่า กระบวนทัศน์การพัฒนาที่อยู่เบื้องหลัง “The First Great Reform” คือ “การพัฒนาที่มุ่งสู่ความทันสมัย” เพื่อเร่งให้รัฐชาติไทยก้าวทันประเทศที่พัฒนาแล้วในประชาคมโลก
การจะพัฒนาประเทศให้ก้าวข้ามปัญหาวิกฤตและภัยคุกคามต่างๆเหล่านี้ จำเป็นจะต้องผลักดันให้เกิด “The Second Great Reform” ซึ่งมีกระบวนทัศน์การพัฒนาที่แตกต่างจาก “The First Great Reform” อย่างสิ้นเชิง จากการพัฒนาที่ “มุ่งสู่ความทันสมัย” (Modernism) ไปสู่การพัฒนาที่ “มุ่งสู่ความยั่งยืน” (Sustainism) เพื่อนำพาความเป็นปกติสุขมาสู่ประเทศไทยและประชาคมโลก
“The Second Great Reform” ที่จะตอบโจทย์การพัฒนาที่ “มุ่งสู่ความยั่งยืน”
ในโลกหลังโควิด ประกอบไปด้วย “ 7 วาระประเทศไทย”
วาระที่ 1| สร้างสังคมที่เป็นธรรม
วาระที่ 2| ปูฐานราก ปักเสาหลัก ประชาธิปไตย
วาระที่ 3| ซ่อมวัฒนธรรมเดิม สร้างวัฒนธรรมใหม่
วาระที่ 4| รู้จักเติม รู้จักพอ รู้จักปัน
วาระที่ 5| สร้างรัฐที่น่าเชื่อถือ
วาระที่ 6| เปลี่ยนกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
วาระที่ 7| เตรียมคนไทยสู่โลกที่หนึ่ง**
กุญแจสำคัญที่จะทำให้ “The Second Great Reform” ประสบผลสำเร็จก็คือ…การเชื่อมโยงหลักคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงกับการพัฒนาที่ยั่งยืนในโลกหลังโควิด
You must be logged in to post a comment Login