ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 64 ที่ผ่านมา นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล ได้เตรียมออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยเพิ่มเติม
ในลักษณะ”ร่วมกันจ่าย” หรือ SME (Co-payment) มีสัดส่วนตั้งแต่ร้อยละ 50-80 สำหรับค่าใช้จ่ายในการขอ #ทดสอบผลิตภัณฑ์ #จดทะเบียน หรือขอ #ใบรับรองมาตรฐาน ต่างๆ และ #การปรึกษาทางธุรกิจ เช่น #มาตรฐานการบัญชี #มาตรฐานสินค้าเกษตร (มกอช.) #มาตรฐานอาหาร (#อย.)
ซึ่งที่ผ่านมาการขอรับบริการทางธุรกิจต่างๆ มีค่าใช้จ่ายสูง เป็นต้นทุนสำคัญของการประกอบการ และกลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการของ SME ไทยด้วย โดยคาดว่าจะเริ่มเปิดตัวโครงการ SMEs’ Co-payment ในกลางปีนี้ ซึ่งนอกจากจะลดภาระค่าใช้จ่ายแล้ว ยังเปิดโอกาสให้ SME ไทยที่มีอยู่กว่า 3.1 ล้านราย สามารถตัดสินใจเลือกพัฒนาคุณภาพและขอรับมาตรฐานสินค้าและบริการที่ตรงความต้องการของแต่ละอุตสาหกรรมแต่ละราย สร้างโอกาสใหม่ๆ ทางการตลาดด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมาตรฐานสากลด้วย
โดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้ริเริ่มแนวทางเพื่อสร้างทางเลือกให้กับ SME ในการพัฒนาธุรกิจของตนเองให้ได้ตรงตามความต้องการได้มากขึ้น โดยจะปรับบทบาทของ สสว.จากผู้ให้บริการทางธุรกิจ (Business Development Service: BDS) มาเป็น สสว.จะให้การเงินสนับสนุนแบบร่วมจ่าย (co-payment) โดยมีค่าใช้จ่ายที่สามารถขอรับการสนับสนุน ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการอบรมพัฒนาความรู้ด้านธุรกิจ
ค่าใช้จ่ายในการทดสอบและรับรองมาตรฐาน ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การทดลองผลิตระดับอุตสาหกรรมและการออกแบบ ค่าใช้จ่ายในการขยายโอกาสทางการตลาด ค่าใช้จ่ายในการรับถ่ายทอดเทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา รวมทั้งค่าตอบแทน เช่น ค่าที่ปรึกษา ค่าผู้เชี่ยวชาญ ค่าวินิจฉัย เป็นต้น มีสัดส่วนตั้งแต่ร้อยละ 50-80
โดยคุณสมบัติของ SME ต้องเป็นธุรกิจที่มีการยื่นชำระภาษีและขึ้นทะเบียนสมาชิกกับ สสว.
โดยล่าสุดรัฐบาลได้มีการปรับกฎเกณฑ์ด้วยการออกกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน
(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2563 เพื่อเอื้อให้ SME สามารถเข้าถึงตลาดการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่มีมูลค่ากว่า 1.3 ล้านล้านบาทต่อปี ซึ่ง มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 22 ธ.ค. 2563
นอกจากนี้แล้ว #กระทรวงการคลัง และ #ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้หารือกันเพื่อปรับปรุงโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือ #Softloan ให้มีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้ #SME ได้เข้าถึงโครงการต่างๆของ Softloan ได้ง่ายและมีวงเงินกู้สูงขึ้น รวมทั้งแนวทางการ “โกดังรับฝากหนี้” หรือ (#AssetWarehousing) เพื่อช่วยเหลือไม่ใช้ทรัพย์สินธุรกิจที่ยังมีศักยภาพต้องถูกยึดหรือปิดตัวลง ซึ่งรายละเอียดจะนำสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในเร็ววันนี้
You must be logged in to post a comment Login