Connect with us

News

สิทธิพล ก้าวไกล เผยเคยเตือนแล้ว นโยบายแจกเงินดิจิทัลได้ไม่คุ้มเสีย

Published

on

เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2566 นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Sittiphol Viboonthanakul ถึงกรณี 99 นักเศรษฐศาสตร์และคณาจารย์ ลงชื่อแถลงการณ์ เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท โดย นายสิทธิพล ชี้ให้เห็นถึงปัญหาสำคัญของนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต มีอย่างน้อย 3 ข้อ คือ

1. ไม่มีประสิทธิภาพ

มีหลักฐานคือ ช่วงโควิด ปี 64 เราใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเม็ดเงินประมาณ 5 แสนล้าน ขนาดใกล้เคียงกับนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต ผลคือเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวน้อยมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่น สิ่งนี้สะท้อนว่า การที่รัฐบาลพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเครื่องมือแบบเดิม โดยหวังผลให้มันดีกว่าเดิม เป็นไปได้ยาก

ดิจิทัลวอลเล็ต มีเป้าหมายกระตุ้นผ่านการบริโภค หวังให้คน กิน ใช้ เที่ยว จับจ่ายใช้สอย เพื่อให้เศรษฐกิจบูม สิ่งนี้คาดหวังได้ยากเมื่อดูจากโครงสร้างการจับจ่ายใช้สอยของคนไทย

สัดส่วนการบริโภคต่อรายได้ของคนไทย อยู่ที่ 70% หมายความว่า คนไทยมีเงิน 100 บาท ใช้จ่ายกินเที่ยว 70 บาท ในเมื่อวันนี้คนไทยบริโภคเยอะอยู่แล้ว การเอาเงินมาแจก สุดท้ายประชาชนอาจไม่ได้ใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แค่เปลี่ยนเอาเงินที่ตัวเองจะใช้ มาเก็บ แล้วเอาเงินที่รัฐบาลบังคับให้ใช้ภายใน 6 เดือน ไปใช้ก่อนแทน

“พูดง่ายๆ ประชาชนอาจเก็บเงินของตัวเองไว้ แล้วใช้เงินของรัฐบาลก่อน และเอาเงินของตัวเองที่เก็บไว้ ไปใช้หลังจาก 6 เดือน ดังนั้นความคาดหวังที่รัฐบาลบอกว่า อยากช่วยให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจ อาจจะไม่เป็นไปตามที่รัฐบาลคาดหวัง สิ่งหนึ่งที่รัฐบาลคาดหวังและรัฐบาลพูดคืออยากให้กระตุ้นการใช้จ่ายและหวังให้กระตุ้นการลงทุนให้เอกชนต่าง ๆ ลงทุนถามจริงๆ เถอะว่า ในมุมผู้ประกอบการถ้าเขารู้ว่าเงินนี้มันมาแค่หกเดือนเขาจะไปลงทุนเครื่องจักรเพิ่ม หรือจะไปลงทุนขยายการผลิตเพิ่มหรือ ไม่น่าใช่ เพราะรู้ว่าเงินนี้มาช่วงสั้นๆ การหวังว่าจะให้มีการขยายการลงทุนมากขึ้นก็เป็นไปได้ยาก”

2. ไม่คุ้มค่า

ทุกอย่างมีค่าเสียโอกาส และราคาที่ต้องจ่าย รัฐบาลกำลังเอาเงิน 560,000 ล้านบาท ไปแจก โดยที่ประเทศยังมีโครงการอื่นที่ต้องการใช้งบ เช่น เพื่อการศึกษา สาธารณสุข สวัสดิการ โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ต้องถูกตัดแน่นอน ถ้าไม่ถูกตัด แปลว่ารัฐบาลจะต้องไปกู้เงิน หรือหาเงินจากแหล่งอื่น ๆ

เรื่องนี้มีหลักฐาน คือ งบประมาณ ปี 66 ทั้งปี รัฐใช้ทั้งสิ้น 3 ล้านล้าน เป็นงบลงทุน 490,000 ล้าน งบนี้สำหรับทั้งสร้างถนน สะพาน จัดการน้ำ พัฒนาที่ดิน จัดหาครุภัณฑ์ อุปกรณ์การแพทย์ อุปกรณ์การศึกษา รวมกันทั้งหมดของปี 66 อยู่ที่ประมาณห้าแสนล้านบาท

หมายความว่า ค่าเสียโอกาสของเงิน 560,000 ล้านบาทที่ไปทำดิจิทัลวอลเล็ต เทียบเท่ากับการเอางบลงทุนของทั้งประเทศ ไปเทหมดหน้าตักให้กับเรื่องเรื่องเดียว แล้วมันเป็นเรื่องระยะสั้นด้วย ผลที่ได้คือเราต้องเสียสละสะพาน อาคาร อุปกรณ์การศึกษา อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์การแพทย์

อีกเรื่องของหลักฐานความไม่คุ้มค่า คือ มีงานวิจัยทางเศรษฐศาสตร์ ที่สถาบันวิจัยของสถาบันการเงินเขาประเมินเลยว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบดิจิทัลวอลเล็ต เกิดผลน้อยมาก ใช้งบกระตุ้นประมาณ 3.6% ของจีดีพี แต่กระตุ้นได้เพียง 1% ของจีดีพีเท่านั้น นี่คือตัวเลขงานวิจัยที่โชว์ให้เห็นชัดว่า ได้ไม่คุ้มเสีย

3. ไม่โปร่งใส ไม่ยั่งยืน เป็นภาระในอนาคต

สิ่งที่รัฐบาลกำลังจะทำ ต้องเอาภาษีที่เก็บจากประชาชน มาใช้จ่าย งบประมาณมันไม่ได้งอกจากท้องฟ้า แต่มาจากภาษีของประชาชน

สิ่งที่เกิดขึ้นกำลังสร้างภาระทางการคลังในอนาคต ทั้งที่รัฐบาลเผชิญข้อจำกัดหลายอย่างในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นหนี้สาธารณะ สังคมผู้สูงอายุ

สำคัญสุด ที่ต้องบันทึกไว้ก็คือ รัฐบาลกำลังดำเนินนโยบายภายใต้ความสุ่มเสี่ยงว่าจะไม่โปร่งใส เลี่ยงการตรวจสอบ หันไปใช้แหล่งเงินนอกงบประมาณ อย่างที่รัฐบาลมีนโยบาย ขยายกรอบเงินนอกงบประมาณจาก 32% เป็น 45% ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี สิ่งนี้เป็นการเลี่ยงการตรวจสอบ และเลี่ยงไม่ให้ภาระที่เพิ่มขึ้นถูกนับรวมเป็นหนี้สาธารณะ แต่ถามว่าสุดท้ายแล้วรัฐบาลต้องจ่ายไหม ตอบสั้น ๆ ง่าย ๆ คือต้องจ่าย แล้วเงินนั้นมาจากไหน ก็มาจากภาษีของประชาชน

และทิ้งท้ายไว้ว่า “สิ่งที่ผมในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ และพรรคการเมืองฝ่ายค้าน รวมถึง นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากตั้งคำถามคือ มันไม่ใช่แค่ไม่ยั่งยืน แต่รัฐบาลกำลังดำเนินการด้วยวิธีที่ไม่โปร่งใส เลี่ยงการตรวจสอบ ทั้งหมดนี้ คือปัญหาสำคัญของนโยบายแจกเงินดิจิทัลครับ”

อย่าลืมกดติดตาม Tojo News เพื่อพบกับข่าวสาร และบทความใหม่ ๆ จากเรา

Line Today TOJO NEWS , ToJoNews

Continue Reading
Advertisement ad-02-doosoft.jpg
Advertisement QK6ZtN.png

Copyright © 2022 TOJO.NEWS

%d bloggers like this: