Connect with us

Politics

น้องสาวกำลังจะกลับมาในสงกรานต์ปี 68 ส่วนประชาชนได้แต่เงียบสนิท!!

Published

on

จตุพร เชื่อ ยิ่งลักษณ์ กลับไทย ใช้บ้านเป็นเรือนจำคุมขังแทน จึงเร่งแก้ระเบียบราชทัณฑ์ให้ทันการกลับไทยในสงกรานต์ปี 68 แต่พฤติกรรมเช่นนี้ ยิ่งจะทำให้อารมณ์สังคมไทยกระชากร้อนแรงจนระเบิดขึ้น ซึ่งไม่มีอะไรรับประกันการจุดไม่ติดได้

ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ว่า รักษาการประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ย่อมรับอนุไต่สวนป่วยทิพย์ชั้น 14 ทำหน้าที่เสร็จสิ้นแล้ว ดังนั้น สำนวนใบบัวปิดไม่มิดจึงปกปิดมติไต่สวนที่เสนอให้ดำเนินคดีการปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติ ตาม ม.157 กับนักการเมืองและข้าราชาการระดับสูงหลายคนไม่ได้เช่นกัน

“นายไพศาล พืชมงคล เปิดโปงว่าคณะอนุไต่สวน ได้ทำหน้าที่เสร็จแล้ว แต่ระดับนำขององค์กรปฏิเสธว่าไม่จริง กระทั่งรักษาการประธาน ปปช. ยอมรับเสร็จแล้ว อยู่ระหว่างกลั่นกรองเข้าที่ประชุม ปปช.สัปดาห์หน้า ดังนั้น เรื่องนี้แสดงว่า การจะปกปิดผลไต่สวนจึงทำยาก และการทำหน้าที่ถ้วงรั้งไว้ ยิ่งทำให้ประชาชนมึนงง แล้วประเทศนี้จะไม่เหลือองค์กรทำหน้าที่ด้วยความถูกต้องไว้เลย”

พร้อมทั้งกล่าวถึงประชาชนเกาหลีใต้ชุมนุมคัดค้านประธานาธิบดีประกาศกฎอัยการศึก ว่า เป็นการสำแดงพลังของประชาชนที่ยกระดับแล้วกดดันให้การเมืองยกระดับตามไปด้วย ซึ่งสะท้อนถึงการสร้างมาตรฐานประทศให้มีความมั่นคงทางการเมืองมากยิ่งขึ้น จนเป็นหลักในการพัฒนาประเทศในขณะนี้

ส่วนไทยเมื่อมีการยึดอำนาจ นักการเมืองไทยเอาแต่หนีไปไกลจากคณะยึดอำนาจให้มากที่สุด ไม่มีความพยายามเข้าสภาเพื่อปกป้องประชาธิปไตยเหมือนเกาหลีใต้ อีกทั้งไม่ใส่ใจสิทธิเสียง เสรีภาพของประชาชน ดังนั้นอย่าฝันหวานว่า นักการเมืองไทยจะเป็นอย่างเกาหลีใต้

พร้อมกล่าวว่า เกาหลีใต้พัฒนาประเทศก้าวรุดไปไกลแทบทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และการกีฬา สิ่งสำคัญเริ่มจากสำนึกประชาชนพัฒนาจึงทำให้การเมืองพัฒนา แล้วเกิดยุติธรรมเป็นหลักของประเทศ ถึงขั้นเอาอดีตประธานาธิบดีที่หมกมุ่นอำนาจแล้วทุจริตต้องติดคุกถึง 2 คน แต่นายกฯ ไทยกลับหนีคดีทุจริตคอร์รัปชันถึง 2 คน พี่ชายกลับมาแล้ว โดยไม่ติดคุกสักวัน และส่วนน้องสาวกำลังจะกลับมาในสงกรานต์ปี 68 ส่วนประชาชนได้แต่เงียบสนิท

“คุณภาพของประชาชนจะเป็นเครื่องสะท้อนคุณภาพผู้ปกครอง เมื่อประชาชนมาตรฐานแกว่ง ไม่คงเส้นคงวา จึงได้ผู้นำที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมาปกครอง กฎหมายก็เอื้อมไปไม่ถึง หรือเอื้อมถึงก็จับขังคุกไม่ได้ ส่วนประชาชนได้แต่เอือมแบบเงียบสนิท”

ส่วนกรณีเสี่ยเปี๋ยง-อภิชาติ จันทร์สกุลพร อดีตนักธุรกิจวงการค้า ที่ถูกจำคุกในคดีระบายข้าว G 2 G และโครงการบ้านเอื้ออาทรได้พักโทษ โดยกระทรวงยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์แถลงอ้างเหตุว่า ป่วยหนัก สิ่งสำคัญรัฐบาลต้องตระหนักให้มากที่สุด เพราะการทำความผิดเป็นโครงการของพรรคเพื่อไทย เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลเพื่อไทย แล้วติดคุกและได้พักโทษกรณีพิเศษในสมัยรัฐบาลเพื่อไทยเช่นกัน ดังนั้น สังคมต้องกังขาพฤติกรรมพวกพ้องของพรรคเพื่อไทย

“การชดใช้ความเสียหายยังไม่ครบ บางคดีการชดใช้ก็ยุติ แต่บางคดีศาลสั่งแล้วก็ยังไม่มีการชดใช้ และบางคดีเหลือเพียงขั้นตอนจะชดใช้เท่าไร ทุกเรื่องราวการทุจริตจึงมืดมนอนธการ ที่ศาลสั่งให้ชดใช้ 66,000 ล้านบาท หรือหลายพัน หลายหมื่นล้านนั้น กระทรวงการคลังเคยเอาตัวเลขมาไล่ให้ดูหรือไม่ แทนที่จะไล่บี้เอาค่าเสียหายกับนักการเมืองและพ่อค้าทุจริต แต่กลับศึกษาหาทางขึ้น vat จาก 7% เป็น 15-25%”

นายจตุพร กล่าวว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยกำลังพินาศย่อยยับ แต่รัฐบาลต้องการเงินเพิ่มอีก 2.5 ล้านล้านบาทมาใช้จ่ายการแจกเงินแบบประชานิยม แต่มาเพิ่มการเก็บภาษี vat ทำให้คนชั้นกลางลงมาชั้นล่างได้ผลกระทบสูงสุด แล้วยังจะลดภาษีนิติบุคคลให้คนรวยไม่ต้องเดือดร้อนอีก จึงสะท้อนถึงปัญหาการทำงานแก้เศรษฐกิจที่โฆษณาเป็นจุดเด่นทางการเมือง

อีกอย่างเศรษฐกิจล้มระเนระนาด โรงงานทยอยปิด ส่วนที่เหลือมีสภาพปางตายให้คนงานทำงานน้อยลงเพื่ออยู่เฝ้าโรงงานไว้ จึงเป็นความสาหัสทางเศรษฐกิจ เมื่อรัฐบาลขึ้นค่าแรงแบบพุ่งพรวดมาซ้ำเติมอีก เศรษฐยิ่งย่ำแย่หนักไปอีกหลายเท่า

เมื่ออดีตพรรคเพื่อไทยมีประวัติสวยหรูกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ แล้ววันนี้ได้แก้ปัญหาอะไรสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมหรือเปล่า รัฐบาลอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร กลับโยนหินถามทางในแต่ละเรื่องไม่ได้เป็นคุณอะไรต่อประชาชนเลย กรณี vat อ้างอยู่ระหว่างการศึกษา ทั้งที่สภาพบ้านเมืองอยู่ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ แทนที่จะลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชน แต่จะขึ้น vat ซ้ำเติมคนจนต้องเดือดร้อน

“ภาวะเศรษฐกิจเมื่อเสียการเมืองแล้ว ความเชื่อมั่นอย่างอื่นก็ทำไมได้ โดยแต่ละเรื่องที่จะทำยังไม่เข้าท่า อย่างประชุมสุดยอดผู้นำบ่อนคาสิโนในไทย นอกจากนี้ยังดันกฎหมายขนส่งทางรางเพื่อยกที่ดินสองข้างทางให้เอกชน หรือแม้แต่ขายคอนโดฯ ให้อยู่ได้ 99 ปี และเช่าที่ดิน 3 แสนไร่โครงการแลนด์บริดจ์ 99 ปี เมื่อถูกประชาชนซักถามมากเข้าก็บอกเป็นแค่แนวความคิด รวมทั้งจะแจกเงินดิจิทัลแบงก์ชาติก็ขวาง จะตั้งประธานบอร์ดแบงก์ชาติยังไม่กล้าเสนอชื่อเข้า ครม.อีก ดังนั้น แต่ละเรื่องจึงเต็มไปด้วยปัญหา เพราะขาดความน่าเชื่อถือ”

นายจตุพร กล่าวว่า คนที่มีลักษณะผู้นำนั้น ในวิกฤตจะสร้างโอกาสขึ้นได้ แต่คนไม่มีความเป็นผู้นำแล้วแม้มีโอกาสกลับจะสร้างวิกฤตขึ้นมาแทนที่ จึงเป็นความแตกต่างชัดเจนของการแก้ไขปัญหา แล้วยังก่อปัญหาให้คนอีกชุดมาอธิบายแก้ต่างแทนตามหลัง ดังนั้น การแก้ปัญหาของประเทศเหมือนคนเมาหมัด ไม่รู้ในแต่ละหน้าที่ตำแหน่งบัญชาการมีคนทำงานกันหรือเปล่า

นายจตุพร กล่าวถึงอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะกลับไทยว่า ถ้ากลับมาแล้วคงไม่กล้าใช้ รพ.ตำรวจเป็นคุกเหมือนทักษิณ ชินวัตร แต่น่าเชื่อว่าจะ ใช้บ้านเป็นเรือนจำคุมขังแทน จึงเร่งแก้ระเบียบราชทัณฑ์ให้ทันการกลับไทยในสงกรานต์ปี 68 แต่พฤติกรรมเช่นนี้ ยิ่งจะทำให้อารมณ์สังคมไทยกระชากร้อนแรงจนระเบิดขึ้น ซึ่งไม่มีอะไรรับประกันการจุดไม่ติดได้

“ถ้ากลับไทยแล้วคิดจะเข้าคุกก็กลับมาได้ ไม่ต้องรอ หากไม่เข้าคุกรัฐบาลจะรับแรงเสียดทานไว้หรือไม่ ซึ่งไม่มีใครรู้มาตรฐานอารมณ์ของคนไทยได้ โดยกรณีนิรโทษกรรมสุดซอยเอื้อทักษิณ ไม่ต้องเข้าคุกได้เรียกคนลงถนนมืดฟ้ามัวดินมาแล้ว ดังนั้น อารมณ์คนไทยจึงแปลก ประเมินได้ยาก และไม่มีใครรู้ล่วงหน้า จึงต้องพิจารณากันเป็นตอนๆ ของสถานการณ์”

นายจตุพร กล่าวว่า การปรามาสประชาชนว่าจุดไม่ติดกรณีคัดค้าน MOU 44 แต่ถ้ารัฐบาลไปเจรจาจนเข้าเงื่อนไขสุ่มเสี่ยงต่อการเสียดินแดน หรือกลุ่มทุนรัฐบาลต้องการหาผลประโยชน์อื่นใดจากสัญญา 52 ปีกับเชฟรอนมาแบ่งปันพวกพ้องแล้ว คงทำให้สังคมแตกตื่นและต้องปกป้องผลประโยชน์และดินแดนบ้านเมืองเอาไว้ ดังนั้น วันที่ 9 ธ.ค.นี้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ไปยื่นหนังสือกล่าวหารัฐบาลจึงเป็นวันปักหมุดเพื่อรอการสุกงอมของสถานการณ์

อีกทั้งกล่าวว่า กรณีเรือประมงไทยถูกยิงและจับตัวไปนั้น รัฐบาลไทยต้องมีท่าทีแสดงถึงศักดิ์ศรีของประเทศที่มีเอกราช แม้การจัดความสัมพันธ์ของประเทศเป็นปัญหา แต่อย่าปล่อยให้พม่าปฏิบัติแบบไม่เห็นหัวคนไทย มองไทยอ่อนแอ แล้วยังมีชนกลุ่มน้อยว้าแดงรุกพื้นดินไทยทางภาคเหนือ และในอดีตเครื่องบินรบ มิก-29 ของพม่าเคยบินล้ำแดนเข้าเขตน่านฟ้ามาแล้ว

สิ่งเหล่านี้ บ่งบอกถึงสถานการณ์เริ่มมีปัญหา ดังนั้น ผู้มีหน้าที่ปกป้องแผ่นดินจึงควรทำในสิ่งที่ถูกต้องของมิตรประเทศสองฝ่ายทั้งไทยกับพม่า และไทยกับกัมพูชาในเรื่องด้านการเจรจาอย่างมีศักดิ์ศรีของประเทศเอกราช รวมทั้งการตกลงปักปันเขตแดนก่อนแบ่งปันผลประโยชน์ 50:50

“เราไม่สนับสนุนให้ใช้สงครามมาแก้ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ต้องการให้ยึดศักดิ์ศรีของความเป็นชาติ และมิตรประเทศไม่ควรมีสายตาด้อยค่าไทย ดังนั้น ไทยต้องมีฤทธิ์มีเดชในสิ่งที่ควรทำอย่างถูกต้อง และควรทบทวนนโยบายสองหน้า เพราะยิ่งจะพาไทยไปสู่ความเสี่ยงเกิดความเสียหายมากกว่านี้ จนไม่เหลืออะไรไว้สักหน้าเลย”

ประเทศไทยต้องมาก่อน

#เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS

Continue Reading
Advertisement ad-02-doosoft.jpg
Advertisement QK6ZtN.png

Copyright © 2022 TOJO.NEWS

%d bloggers like this: