รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิบดีฯ ธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านทางเฟสบุ๊คส่วนตัว แนะ รัฐบาลเศรษฐา ระบุ การแถลงนโยบายของรัฐบาล เหมือนทำเพียงให้ผ่านไปๆ มองไม่เห็นอนาคตการทำงานที่ดีของรัฐบาล หากจะให้ผลดีควรทำดังนี้
“ได้ฟังการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภามาหลายรัฐบาล ก็ยังไม่เห็นรัฐบาลไหนให้ความสำคัญต่อการแถลงนโยบายมากเท่าที่ควรจะให้แม้แต่รัฐบาลเดียว นั่นอาจเป็นเพราะว่าผู้นำรัฐบาลเห็นว่า จะแถลงอย่างไรก็ไม่ทำให้รัฐบาลล้มลงไปได้เหมือนกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน ทุกรัฐบาลจึงแถลงพอเป็นพิธี ขอเพียงไม่น่าเกลียดเกินไปก็พอ
การแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ความจริงมีความสำคัญมากต่อรัฐบาลแม้จะไม่มีการลงมติว่าจะให้ผ่านหรือไม่ เพราะเป็นการการสร้างความประทับใจครั้งแรก (First Impression) ซึ่งมีความสำคัญต่อการได้รับคะแนนนิยมจากประชาชน จากสื่อมวลชน จากสมาชิกรัฐสภา และแม้กระทั่งจากฝ่ายค้าน และจะมีผลต่อความเชื่อมั่นของคนทั้งประเทศอย่างยิ่ง อันจะจะเป็นผลให้การบริหารประเทศของรัฐบาลได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะจากบรรดาข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในกระทรวงทบวงกรมต่างๆมากขึ้น
การแถลงนโยบายรัฐบาลของคุณเศรษฐา ทวีสิน ดังที่คุณศิริกัญญา ตันสกุล แห่งพรรคก้าวไกลอภิปรายเป็นคนแรกว่า การแถลงนโยบายปราศจากเป้าหมาย ปราศจากตัวชี้วัด ไม่มีกรอบเวลา ทำให้ไม่สามารถบอกได้ว่าการบริหารประเทศของรัฐบาลทำได้สำเร็จหรือไม่ ตามกำหนดเวลาหรือไม่ ต้องยอมรับว่าคุณศิริกัญญา อภิปรายได้ดี หากลดหรือตัดคำพูด และกิริยาท่าทางที่ออกไปในทางดูแคลนและเย้ยหยันออกไปก็จะดีมาก แปลกที่ความจริงคุณจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ ก็ออกจะใช้สำนวนโวหารแบบเสียดสีพอกัน เช่น เริ่มต้นว่า นโยบายรัฐบาลครั้งนี้สวนทางกับส่วนสูงของท่านนายกรัฐมนตรี หรือเรียกว่าเป็นนโยบายนินจาเพราะที่หาเสียงไว้หลายประการกลับล่องหนหายไป แต่กลับไม่รู้สึกขัดหูขัดตาเท่ากับกรณีคุณศิริกัญญา แต่ก็นั่นแหละอาจเป็นเพราะลีลาท่าทางอาจต้องเป็นแบบนี้จึงจะถูกใจคนรุ่นใหม่ก็ได้
เพื่อให้การแถลงนโยบายรัฐบาลต่อสภา มีความหมายมากขึ้น มีความสำคัญมากขึ้นจึงอยากเสนอว่า แทนที่จะเขียนนโยบายว่าจะทำอะไร หรือให้อะไรประชาชนบ้างเท่านั้น ให้เขียนเป็นรูปแบบของแผนการบริหารประเทศ ซึ่งถูกบังคับโดยรัฐธรรมนูญอยู่แล้วว่าจะต้องสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ดังนั้นจึงต้องใช้วิสัยทัศน์ที่กำหนดไว้ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีว่า
” ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยี่งยืน เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” หรือเป็นคำขวัญว่า “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน”
วิสัยทัศน์ในบริบทของการทำแผนคือ ภาพที่ต้องการจะเห็นในอนาคต ซึ่งก็ทำหน้าที่เป็นเป้าหมายกว้างๆ ดังนั้นแผนบริหารประเทศควรใช้วิสัยทัศน์นี้เป็นเป้าหมายสูงสุด และควรเป็นแผนระยะ 4 ปี เท่าอายุรัฐบาล และควรต้องกำหนดเป้าหมายย่อยๆว่า หากจะทำให้ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน จะต้องมีปัจจัยอะไรที่จะต้องดีขึ้นบ้าง อาทิ จีดีพีต้องโตปีละเท่าใด อัตราว่างงานควรต้องเป็นเท่าใด หนี้ครัวเรือนควรลดลงเหลือเท่าใด คดีอาชญากรรมต้องลดลงเป็นเท่าใดเมื่อสิ้นสุดแผน และอีกหลายๆเป้าหมาย
เป้าหมายเหล่านี้ จะทำหน้าที่เป็นตัวชี้วัดว่ารัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้สำเร็จตามแผนหรือไม่ จากนั้นจะต้องมียุทธศาสตร์ว่า การที่จะบรรลุเป้าหมายได้ จะต้อง Focus ที่ไหน เช่น พัฒนาการเกษตรกรรมแบบก้าวหน้า พัฒนาการการท่องเที่ยว ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เป็นต้น ที่ต้องมี Focus ก็เพราะด้วยทรัพยากรที่จำกัด และเวลา 4 ปี รัฐบาลไม่สามารถทำทุกอย่างได้ทั้งหมดพร้อมๆกัน
หลังจากการมี Focus แล้ว ก็จะถึงกิจกรรมต่างๆ นั่นคือรัฐบาลต้องทำอะไรบ้างกับสิ่งที่ได้ Focus ไว้ เพื่อบรรลุเป้าหมายต่างๆข้างต้น หากทำเช่นนี้ได้ เมื่อเวลาผ่านไป จะสามารถบอกได้ชัดเจนว่ารัฐบาลบริหารประเทศได้สำเร็จมากน้อยเพียงใดเนื่องจากมีตัวชี้วัดแล้ว ประชาชนก็จะได้ทราบอย่างชัดเจน ไม่ต้องใช้ความรู้สึก แต่สามารถดูจากตัวเลขที่ปราศจากความมีอคติของบุคคล
อีกอย่างที่ขาดไม่ได้ในแผนก็คือ ” ค่านิยม หรือ Value “ ที่ต้องเขียนไว้ โดยแยกเป็นอีกหมวดของแผนและควรอยู่หมวดแรกๆของแผนถัดจากวิสัยทัศน์ เพื่อเป็นกรอบให้ทุกคนในรัฐบาลทุกคนยึดมั่นยึดถือ ไม่ทำอะไรที่ขัดต่อค่านิยมอย่างเด็ดขาด เช่น
รัฐบาลยึดมั่นในสถาบันพระมหากษัตริย์ตลอดไป
รัฐบาลยึดมั่นในความโปร่งใส ปราศจากการทุจริตคอรัปชั่น รัฐบาลจะยึดหลักนิติรัฐ นิติธรรม ปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกัน
ฯลฯ
ยังไม่สายที่รัฐบาลคุณเศรษฐาจะรีบจัดทำแผนดังกล่าวหลังจากแถลงต่อสภาแล้ว และหากทำได้สำเร็จ ประชาชนจะอภัยให้หากรัฐบาลจะไม่ทำบางอย่างที่หาเสียงไว้ เช่น ค่าแรงขั่นต่ำ 600 บาท ค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย หรือแม้แต่ Digital Wallet คนละ 10,000 บาท ที่ทำท่าจะมีอุปสรรคมากมาย น่าจะเป็นเพราะไม่ได้ศึกษาให้ละเอียดลงตัวก่อนหาเสียง เพื่อจะได้ไม่มีใครเปลี่ยนคำขวัญของพรรคเพื่อไทยจาก
“คิดใหม่ ทำเป็น” มาเป็น
” คิดไม่หมด ทำไม่เป็น “
การเลือกตั้งครั้งหน้าก็อาจจะชนะแบบ landslide ก็ได้ ใครจะไปรู้”
รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร
12 กันยายน 2566