Connect with us

Politics

ปรากฏการณ์ “ส้มหล่น” เกิดขึ้นเพราะอะไร อดีตรองอธิการบดีธรรมศาสตร์ เผยบทวิเคราะห์ถึงชัยชนะของพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งที่ผ่านมา

Published

on

เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 16 พฤษภาคม 2566 รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้แสดงความเห็น ผ่าน ทางเฟซบุ๊คส่วนตัว กล่าวถึงปรากฏการณ์การได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลายของพรรคก้าวไกล ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา มีใจความว่า


“หากดูกระแสการเมืองในช่วงก่อนการเลือกตั้ง
ก็ไม่น่าแปลกใจ ที่พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลได้จำนวนที่นั่งในสภามากกว่าพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค แต่ที่น่าแปลกใจก็คือการที่พรรคก้าวไกลเอาชนะพรรคเพื่อไทย ที่หมายมั่นปั้นมือว่า จะชนะเลือกตั้งแบบ landslide ไปได้ 152 ต่อ 141 ที่นั่ง

เมื่อดูตัวเลขผู้มีสิทธิเลือกตั้งซึ่งมีทั้งหมดประมาณ 54 ล้านคน มีกลุ่มคนที่อยู่ใน Gen Y และ Gen Z ซึ่งเป็นฐานเสียงของพรรคก้าวไกลรวมกันประมาณ 19 ล้านคน และมาดูคะแนนส.ส.บัญชีรายชื่อที่พรรคก้าวไกลได้รับประมาณ 14 ล้านเสียง ตัวเลขของผู้มาลงคะแนนเลือกตั้งครั้งนี้ประมาณร้อยละ 75 หากมีสมมติฐานว่าคน Gen X และ Gen Y มาเลือกตั้งร้อยละ 75 ก็จะพบว่าคนในกลุ่มนี้มาลงคะแนนเสียงเลือกตั้งประมาณ 14.2 ล้านคน นั่นหมายความว่าพรรคก้าวไกลได้คะแนนเสียงจากคนกลุ่มนี้มาเกือบทั้งหมด

ทำไมพรรคก้าวไกลจึงได้คะแนนนิยมจากคนรุ่นใหม่มากถึงเพียงนี้ เมื่อวานได้คุยกับอดีตลูกศิษย์คนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ที่ติดตามกรเมืองอย่างใกล้ชิด เขาได้สอบถามกลุ่มคนที่อยู่ใน Gen y และ Gen z จำนวนหนึ่ง ว่าเลือกพรรคก้าวไกลเพราะอะไร คำตอบมี 3 ข้อคือ

  1. ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลง
  2. ยกเลิกเกณฑ์ทหาร
  3. แก้ไข/ยกเลิก มาตรา 112

คำตอบข้อ 1 ดูเหมือนจะเป็นคำตอบที่ผุดขึ้นมาในสมองเมื่อถูกถามก่อนคำตอบอื่นๆ แต่น้อยคนมากที่จะเข้าใจชัดเจนว่า สิ่งต่างๆที่พรรคก้าวไกลประกาศว่าจะเปลี่ยนแปลงนั้น ในระยะยาวประเทศไทยจะดีขึ้นจริงหรือไม่ หรือจะพาประเทศไปสู่หายนะ

ข้อ 2 คือยกเลิกเกณฑ์ทหาร เชื่อว่าข้อนี้ถูกใจวัยรุ่นที่ไม่ต้องการเป็นทหารที่สุด เพราะคนรุ่นนี้ ไม่ให้ความสำคัญกับความมั่นคงของชาติ แต่ให้ความสำคัญต่อตัวเองมากกว่า ทั้งยังถูกใจพ่อแม่ที่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหารอีกด้วย

ข้อ 3 คือเลือกเพราะต้องการให้แก้ไข/ยกเลิกมาตรา 112 เพราะอะไรคนกลุ่มนี้จึงต้องการให้ยกเลิกมาตรา 112 คำตอบคือ พวกเขาได้รับข้อมูลทั้งทาง social media และในห้องเรียน ที่นำด้านลบที่ส่วนใหญ่ไม่ใช่ความจริง มาป้อนให้ตั้งแต่เด็กจนเข้ามหาวิทยาลัย และยังมีข้อมูลเหล่านี้ที่แฝงอยู่ในสำนักข่าวต่างๆในประเทศอย่างน้อย 5 สำนัก เป็นข้อมูลที่สร้างความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ทำมานานแล้ว มิใยที่ผู้ที่ยังจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์จะอธิบายครั้งแล้วครั้งเล่าว่า มาตรา 112 ไม่เป็นปัญหาสำหรับคนทั่วไป แต่คนกลุ่มนี้ไม่ใช่คนทั่วไป แต่เป็นคนกลุ่มที่มีความเชื่อตามข้อมูลที่ได้รับ และมีความอัดอั้นอยู่พอสมควร หากสามารถหมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย จาบจ้วงใช้คำหยาบต่อพระมหากษัตริย์เมื่อใดก็ได้ที่อยากจะทำโดยไม่มีความผิด ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องการ

ถ้าถามว่าเชื่อได้อย่างไรว่า มีการใช้ปฏิบัติการ IO เหล่านี้จริง ก็ไม่ต้องไปดูอื่นไกล ดูกรณีน้องหยกคนเดียวก็พอ น้องหยกถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 และคดีร่วมกันพ่นสีเป็นเครื่องหมายอนาธิปไตยและยกเลิก 112 บนกำแพงวัดพระแก้ว ศาลเคยให้ออกหมายเรียกครั้งแรก น้องหยกไม่มา ครั้งที่ 2 ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชนยื่นเลื่อนด้วยเหตุผลว่าติดสอบ
แต่ศาลพบว่าน้องหยกไปร่วมประท้วงหน้าองค์การสหประชาชาติ จึงเชื่อว่าที่ยื่นขอเลื่อนก็เพื่อประวิงเวลาไม่ได้ติดสอบจริง จึงอนุมัติให้ออกหมายจับ น้องหยกไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมใดๆ และมีอาการคลั่ง ร้องตะโกนว่า ศาลไม่มีความยุติธรรม เพราะตัวเองเป็นคู่กรณีกับกษัตริย์ และศาลเป็นคนของกษัตริย์ ศาลจะยุติธรรมได้อย่างไร กษัตริย์ต้องไปสั่งศาลให้ดำเนินคดีอย่างเป็นธรรม มิฉะนั้นก็ไ่ม่ต้องมีกษัตริย์ เธอกล้าพูดได้ถึงขนาดนี้ แต่ก็เป็นที่ถูกอกถูกใจกองเชียร์ยิ่งนัก

เด็กอายุเพิ่งเต็ม 15 จะมีความคิดรุนแรง ออกไปทำกิจกรรมที่หมิ่นเหม่เช่นนี้ได้อย่างไร ชุดความคิดแบบนี้ ไปเอามาจากไหน พระมหากษัตริย์เคยทำอะไรให้น้องหยกต้องโกรธแค้นหรือ การกระทำแบบนี้ ชุดความคิดแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแน่ๆ

ข่าวน้องหยกที่ถูกออกหมายจับ ถูกประโคมในสำนักข่าวที่เป็นแนวร่วมกันอย่างพร้อมเพรียง เนื้อข่าวทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่า เยาวชนอายุเพียง 15 ปีกำลังถูกรังแก นักวิชาการบางคนถึงกับให้ความเห็นว่าการออกหมายจับไม่ได้ดำเนินการอย่างถูกต้อง ดังนั้นสามารถปล่อยตัวได้เลย นักวิชาการคนนั้นกำลังบอกว่า ทนายยื่นหนังสือขอเลื่อนตามหมายจับครั้งที่ 2 ไปแล้ว แต่ศาลยังให้ออกหมายจับ เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง แต่นักวิชาการคนนั้นไม่ได้บอกว่า ศาลพบว่าทนายพยายามประวิงเวลาให้น้องหยก น้องหยกไม่ได้ติดสอบจริงๆอย่างที่อ้าง

ไม่น่าเชื่อว่า เหตุการณ์ที่แบมและตะวันพาพวกบุกสน. สำราญราษฎร์ เนื่องจากไปกดกันให้ปล่อยตัวน้องหยก จนเกิดความรุนแรง ถูกควบคุมตัวและตั้งข้อหา ต่อมามีคลิปที่เผยแพร่ไปทั่ว ที่แบมและตะวันแสดงอาการบ้าคลั่ง ใช้คำหยาบ และทำลายข้าวของในห้องที่ใช้ควบคุมตัว คนทั่วไปเห็นแล้วต่างรู้สึกว่าเป็นอาการของเด็กมีปัญหา แต่ fc ก้าวไกลเห็นแล้วยิ่งชอบใจ ยิ่งเทคะแนนให้

เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าพรรคก้าวไกลจะส่งใครลงสมัครรับเลือกตั้ง fc ก็โหวตให้ทั้งสิ้น มือปาระเบิดในม็อบก็โหวตให้ คนที่เชื่อได้ว่ามีการติดต่อทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐอเมริกาจนผิดสังเกตก็โหวตให้ คนที่โพสต์ภาพวับๆแวมๆไม่เหมาะสมของตัวเองก็โหวตให้ ทำให้ต่อจากนี้ไป ในสภาผู้แทนราษฎรอันทรงเกียรติ ก็จะมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสายพันธุ์ใหม่นั่งอยู่เต็มไปหมด แม้แต่หัวหน้าพรรคที่ถูกจับได้ชัดเจนว่าพูดไม่จริงหลายครั้ง เขาก็ไม่สนใจยังคงลงคะแนนให้อยู่ดี

ทีมงานที่ทำแคมเปญเลือกตั้งให้พรรคก้าวไกล สามารถใช้กลยุทธ์การตลาดสมัยใหม่ สร้าง brand ทำให้คนในกลุ่มเป้าหมายเกิดความนิยม และเกิดอุปทานหมู่จนทำบางอย่างตามๆกัน ย่อมไม่ใช่ทีมงานธรรมดา ต้องเป็นทีมงานที่มีความรู้และมีประสบการณ์ในการวางแผนทำแคมเปญเลือกตั้งมาก่อน ก็ไม่ทราบว่าทีมงานเช่นนี้พรรคก้าวไกลไปเสาะหามาได้จากที่ใด

อย่างไรก็ดี สิ่งที่พรรคก้าวไกลสร้างไว้และทำให้ได้คะแนนเสียง กำลังเป็นดาบสองคมที่กลับมาทำร้ายตัวเอง พรรคก้าวไกล ประกาศจะแก้ไขมาตรา 112 ทำให้ได้คะแนนเสียงมากมายจากคนกลุ่มคนที่ถูกกล่อมมานาน และเพิ่งจะเริ่มผลิดอกออกผลใน 3 ปีที่ผ่านมา และมาสุกงอมตอนเลือกตั้งพอดี แต่วันนี้เมื่อต้องการจัดตั้งรัฐบาล กลับเป็นข้อจำกัดที่ทำให้พรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลได้ยากขึ้น เพราะพรรคการเมืองส่วนใหญ่ไม่อยากแตะต้องเรื่องนี้ พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค ล้วนไม่เอาด้วย

แม้พรรคเพื่อไทยก็เถิด ตอนนี้ก็ตอบรับไปก่อน แต่ถึงเวลาต้องเจรจากันจริงๆ จะยินยอมตามเงื่อนไขของพรรคก้าวไกลหรือไม่ก็ยังไม่ทราบ เนื่องจากพรรคเพื่อไทยรู้ดีว่าหากเป็นรัฐบาลแล้วผลักดันแก้ไขมาตรา 112 แม้จะถูกใจ fc ของพรรคก้าวไกล แต่ยังมีคนอีกอย่างน้อย 30 ล้านคนไม่เอาด้วย และจะเกิดความวุ่นวายได้ หากพรรคก้าวไกลเจรจากับพรรคเพื่อไทยไม่สำเร็จ ก็ไม่มีทางไปหาพรรคอื่นแล้ว เหลือแต่พรรคเล็กๆที่เป็นฝ่ายค้านเดิมซึ่งมี ส.ส.อยู่ไม่กี่ที่นั่งทั้งสิ้น และเมื่อนั้นพรรคเพื่อไทยก็จะไปจับมือกับพรรคอื่นอย่างที่ลือกัน และได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลสมใจคนแดนไกลที่ต้องการกลับบ้านก่อนวันเกิด เพียงแต่ต้องต่อรองกันว่าจะให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น

ดังนั้น ที่คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ซึ่งประกาศก้องด้วยความชี่นมื่นว่า พร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าโดนตัดสิทธิ์การเป็นส.ส.และรัฐมนตรีจากกรณีถือหุ้นสื่อหรือไม่ก็ตาม พรรคก้าวไกลอาจต้องกินแห้ว กลับไปเป็นฝ่ายค้านเช่นเดิมก็ได้

เรามาคอยดูกันต่อไป

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร
16 พค 66

Continue Reading
Advertisement ad-02-doosoft.jpg
Advertisement QK6ZtN.png

Copyright © 2022 TOJO.NEWS

%d bloggers like this: