Connect with us

Politics

คลิปคุยฮุน เซน สะท้อนความอ่อนข้อ เตือน! อย่าดูแคลนกระแสต้านจากประชาชน

Published

on

รองโฆษกไทยสร้างไทย อัด “แพทองธาร” ต้องปกป้องชาติ ที่บอกว่า “ดิฉันไม่ได้อะไร และประเทศก็ไม่ได้เสียอะไร” ไม่ใช่แค่ตัวเอง  ย้ำคลิปคุยฮุน เซน สะท้อนความอ่อนข้อ

ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า นางสาวตรัยฉัตร ธนสารไตรภพ รองโฆษกพรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน หลังคลิปเสียงสนทนาระหว่างสมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ถูกเผยแพร่และกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า “ดิฉันไม่ได้อะไร และประเทศก็ไม่ได้เสียอะไร”

นางสาวตรัยฉัตร เห็นว่าคำกล่าวของนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า “การที่นายกรัฐมนตรีบอกว่า ‘ดิฉันไม่ได้อะไร’ อาจสะท้อนถึงความรู้สึกส่วนตัว แต่หน้าที่ของผู้นำประเทศไม่ใช่แค่ปกป้องตัวเอง แต่ต้องปกป้องผลประโยชน์ของชาติ และในกรณีนี้ ประเทศเสียหายทั้งในเชิงภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่นทางการเมืองระหว่างประเทศ และความไว้วางใจของประชาชน

รองโฆษกพรรคไทยสร้างไทยชี้ว่า แม้คลิปเสียงจะเป็นบทสนทนาในลักษณะส่วนตัว แต่เนื้อหาในคลิปมีถ้อยคำที่สามารถถูกตีความได้ว่า เปิดช่องเจรจาในลักษณะอ่อนข้อกับกัมพูชา โดยเฉพาะในประเด็นเขตแดน ซึ่งเป็นเรื่องอ่อนไหวระดับประเทศ การเจรจาในลักษณะนี้ไม่เพียงขัดต่อหลักการทูต แต่ยังเสี่ยงกระทบต่อสถานะของไทยในเวทีระหว่างประเทศ

รองโฆษกฯ ยังกล่าวถึงลักษณะการพูดคุยในคลิปว่า “ไม่ได้สะท้อนภาพผู้นำที่มีความรอบคอบ และรักษาศักดิ์ศรีของประเทศ กลับกลายเป็นบทสนทนาแบบเครือญาติที่ขาดความเป็นทางการ และไม่แสดงถึงความเข้าใจบริบททางการทูต” ซึ่งถือเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย

นางสาวตรัยฉัตร ยังตำหนิท่าทีของนายกรัฐมนตรีที่แสดงออกต่อคำถามจากสื่อมวลชน โดยเฉพาะการเดินหนีการแถลงข่าวเมื่อถูกถามเรื่องการลาออกหรือยุบสภาว่า “การกระทำแบบนี้ยิ่งตอกย้ำถึงความไม่รับผิดชอบ และไม่พร้อมเผชิญหน้ากับคำวิจารณ์ ทั้งที่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจำเป็นต้องเผชิญกับแรงกดดันอย่างมีวุฒิภาวะ”

“ต่อจากนี้ นายกรัฐมนตรีอย่าดูแคลนกระแสต้านจากประชาชน คำพูดที่ออกจากปากต่อจากนี้ ต้องมีความสำนึกในสิ่งที่พูดออกไป และต้องจริงจังกับกระแสต้านจากประชาชนมากกว่านี้” นางสาวตรัยฉัตร กล่าวทิ้งท้าย

Continue Reading
Advertisement ad-02-doosoft.jpg
Advertisement QK6ZtN.png

Copyright © 2022 TOJO.NEWS

%d bloggers like this: