วงเสวนาวิชาการ เห็นตรง ถึงเวลารัฐไทย ต้องเตรียมการรับมือโลกใหม่ยุคเมกะเทรนด์
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า ที่รัฐสภา เวทีเสวนาวิชาการ หัวข้อ SMEs ไทยจะรับมืออย่างไรกับ Megatrend ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญ และวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิร่วมอภิปราย
นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เพย์โซลูชั่น จำกัดกล่าวถึงการปรับตัวของ SMEs ในยุคดิจิทัล โดยแสดงความกังวลต่อการเข้ามาตีตลาดของทุนต่างชาติ ซึ่งเป็นปัญหาที่กระทบต่อระบบเศรษฐกิจ จึงอยากเห็นเจ้าหน้าที่ทำงานเชิงรุกมากขึ้น เมื่อเจอสินค้าที่เข้าข่ายผิดกฎหมายต้องติดตามไปให้ถึงต้นตอ
ส่วนผู้ประกอบการไทยต้องเตรียมการรับมือการบุกเข้ามาของทุนต่างชาติทั้งออนไลน์และออฟไลน์ โดยนำเทคโนโลยี AI เข้าไปใช้ประโยชน์ช่วยในการค้าขายเพิ่มศักยภาพให้องค์กร เพิ่มทักษะให้กับบุคลากรในองค์กร เพื่อให้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI ได้มีประสิทธิภาพสูงสุด ขณะเดียวกันขอเรียกร้องให้รัฐบาลสนับสนุนนโยบาย คนทำการค้าออนไลน์เพื่อให้มีแต้มต่อสามารถแข่งขันกับทุนต่างชาติได้ ควบคู่ไปกับการปรับปรุงกฎหมาย ทั้งในส่วนของ กฎหมายที่เกี่ยวกับสินค้าจับต้องได้และกฎหมายที่เกี่ยวกับสินค้าดิจิทัล
นายไชยวัฒน์ หาญสมวงศ์ อดีตประธานสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย กล่าวถึงการปรับตัวของ SMEs ต่อผู้บริโภคยุคใหม่ โดยเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงในองค์กร ให้มีความคล่องตัวกระฉับกระเฉง โดยใช้เครื่องมือและเทคโนโลยี มาผสมผสาน ลดโครงสร้างขององค์กรให้กระชับ
พร้อมเปลี่ยนแนวคิดว่า หากจะผลิตสินค้าหรือขายสินค้าต้องมีกำไรเท่านั้น เมื่อสินค้าที่ผลิตอยู่แข่งขันสูง ต้นทุนการผลิตแข่งขันในตลาดสู้ไม่ได้ ก็ต้องนำเทคโนโลยีมาช่วยลดต้นทุน ลดปัญหาเรื่อง carbon release หากไม่สำเร็จก็ควรเลิกผลิตหาแหล่งที่ผลิตถูกกว่ามาขาย หรือปรับเปลี่ยนไปผลิตสินค้าประเภทอื่นแทน รวมถึงการปรับเปลี่ยนแนวทางการตลาด โดยใช้โลกของเทคโนโลยีและสื่อทางด้านอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาช่วย
ด้านนายสุปรีย์ ทองเพชร ประธานสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กล่าวถึงการสร้างความยั่งยืนในยุคเศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งธุรกิจจะต้องปรับตัว เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐาน การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ซึ่งจัดออกเป็น 3 มิติ
มิติที่ 1 การปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกทางตรงขององค์กร (Direct Emissions) เช่น การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงจากองค์กร เช่น การใช้เชื้อเพลิงต่างๆ ในกระบวนการผลิต, การใช้ยานยนต์ขนส่งภายในองค์กร, การรั่วไหลของสารทำความเย็น
มิติที่ 2 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน (Indirect Emissions) เช่น การซื้อไฟฟ้า ไอน้ำ ความร้อน หรือความเย็น เพื่อนำมาใช้ภายในองค์กร หรือโรงงานอุตสาหกรรม
และมิติที่ 3 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่น ๆ (Other Indirect Emissions) เช่น การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นตามจุดต่างๆ ตลอดทั้งซัพพลายเชนที่นอกเหนือจาก 2 มิติข้างต้น อาทิ การซื้อวัตถุดิบจากผู้ผลิตต้นน้ำ ซึ่งคิดจากการได้มาซึ่งวัตถุดิบ แปรรูป และขนส่งมายังสถานที่ผลิตของเรา รวมถึงการเดินทางทางธุรกิจที่เกิดขึ้น หรือการเดินทางของพนักงานด้วย
สำหรับการประเมินดังกล่าว เป็นกลไกที่ไม่เพียงช่วยให้องค์กรมองเห็น ‘ผลกระทบต่อโลก’ ที่สร้างขึ้นผ่านปริมาณก๊าซเรือน แต่ยังเป็นเข็มทิศให้กับองค์กรในการปรับแผนกลยุทธ์สำหรับการเปลี่ยนวิถีการทำธุรกิจของตน มองหาโซลูชั่นส์ใหม่ๆ ทั้งด้านพลังงาน กระบวนการผลิต รวมถึงจัดหาวัตถุดิบทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
#เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS