Connect with us

Politics

“นิคม” แฉ “สุชาติ” ใช้เงินประกันสังคมปั่นหุ้น

Published

on

“นิคม” แฉ “สุชาติ” ใช้เงินประกันสังคมปั่นหุ้นบริษัทเมียตัวเอง

ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 33 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติการอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 จำนวน 11 คนในวันแรกนั้น นายนิคม บุญวิเศษ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังปวงชนไทย อภิปรายนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ว่า

ขาดความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการแรงงาน ปล่อยให้แรงงานลักลอบเข้าเมือง ในช่วงโควิดระบาด เรื่องแรงงานมีผลประโยชน์ มีขุมทรัพย์มากมาย เป็นการทำนาบนหลังคน แรงงานที่เข้ามาในประเทศไทยหลายแสนคนเท่าที่รู้ไปสอบถาม มีการไปเก็บส่วยจ่ายให้นายหน้า แรงงานนอกจากจะเสียจากเมียนมา 2หมื่นบาทแล้ว พอมาประเทศไทยยังต้องเสียอีก 1.5หมื่นบาท ทั้งที่ครม.ไม่มีมติให้แรงงานเข้ามา แต่ก็ยังปล่อยให้มีการนำเข้ามา เมื่อแรงงานเข้ามาแล้ว ก็ไม่ได้มีการกักกัน ตรวจโรค พอนำเข้ามา ไปส่งให้บริษัทพรรคพวกของพวกท่าน โดยหนึ่งในบริษัทก็เป็นพรรคพวกของท่านอยู่ในจ.ชลบุรี

นอกจากนี้ยังทราบว่า มีเก็บค่าหัวแรงงานที่จะเดินทางไปทำงานต่างประเทศ 3พันบาทต่อคน คนที่เก็บอ้างว่า เก็บให้นายตนก็ไม่รู้ว่านายที่ว่าคือใคร มีหลักฐานการพูดคุยทางไลน์ และหลักฐานการโอนเงิน กระทรวงแรงงานแทนที่จะมีนโยบายส่งแรงงานไปต่างประเทศ ไม่ต้องไปเก็บเงิน เพราะแรงงานเหล่านี้ก็ไปหางาน นำเงินเข้าประเทศ แม้ท่านจะไม่ได้เก็บเอง แต่ก็ปล่อยให้เขาทำ

ช่วงที่เกิดวิกฤตคนตกงาน ควรช่วยเหลือให้เขาหางานทำง่ายๆ ไม่ใช่ไปเก็บเงิน จึงได้บอกว่า ท่านขาดความรู้ ความสามารถ ปล่อยปละละเลยให้มีการเก็บส่วย ถึงแม้ท่านไม่ได้เก็บเอง แต่ก็ปล่อยให้คนของท่านไปเก็บ ตนเชื่อว่าคนๆนั้นมีความเกี่ยวข้องกับท่าน

นายนิคม กล่าวต่อว่า นายสุชาติก่อนหน้าที่จะมาเป็นส.ส. มีการแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินร่วมกับคู่สมรสต่อป.ป.ช. เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 61 ระบุว่ามีทรัพย์สินรวมกับคู่สมรส 967,941,123 บาท หนี้สิ้น 106 ล้านบาท รายได้ 5.9 ล้านบาท รายได้ 3.6 ล้านบาท แต่ปัจจุบันตนคิดว่าน่าจะมีเงินหลายพันล้านบาท เพราะอู่ฟู่ จากรายการข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและตลาดหลักทรัพย์พบว่าบริษัทที่ท่านเป็นเจ้าของมีการแปรสภาพเป็นบริษัทจำกัดมหาชน

เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 61 โดยทุนจดทะเบียน 480 ล้านบาท แจ้งประกอบการธุรกิจขายอสังหาริมทรัพย์ บ้านและที่ดิน แต่ที่น่าสนใจบริษัทอรินสิริแลนด์ มหาชน จำกัดมีกรรมการผู้มีอำนาจคือภรรยาของนายสุชาติ โดยบริษัทนี้ เมื่อเข้ามาเป็นรัฐมนตรี กฎหมายห้ามถือหุ้นเกิน 5% แต่ท่านก็ไปรายงานต่อป.ป.ช.ขออนุญาตถือหุ้นเกิน 5% โดยถือหุ้นคือเป็น 28.66% ส่วนภรรยาถือหุ้น 21.67% สองคนร่วมกันเกิน 50% หลังจากนั้นมีการถ่าโอนหุ้นไปยังนายล.ลิง และนายส.เสือ

โดยวันที่ 11 มี.ค. 65 มีการกระจายหุ้น ซึ่งที่ไม่ปกติคือนายสุชาติมีความสนิทสนมกับนายส.ภ.ที่เป็นนักปั่นหุ้นและนักฟอกเงิน มีการเอื้อประโยชน์โดยใช้ตำแหน่งอำนาจหน้าที่ เนื่องจากนำเงินประกันสังคมไปซื้อหุ้น และช่วยเหลือบริษัทของนายส.ภ.ที่ทำธุรกิจพลังงาน ปัจจุบันเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นๆของไทยโดยนำเงินประกันสังคมไปลงทุนเหล่านี้ และยังมีบริษัทลูกอีก 3-4 บริษัท นำเงินประกันสังคมไปปั่นหุ้นจากหุ้นที่ติดลบโดยนำเงินไปทุ่มซื้อหุ้น บริษัทละ 2-3 พันล้านบาท เมื่อหุ้นขึ้นก็ได้กำไร นำเข้ากระเป๋าพวกพ้องของท่าน

นายนิคม กล่าวต่อว่า แต่มีเรื่องไม่ปกติดี เมื่อบริษัทลูกของนายส.ภ.กลับมาซื้อหุ้นของบริษัทอรินสิริแลนด์ฯที่มีผลประกอบการขาดทุนตั้งแต่ปี 62-64 ต่อมาต้นปี 65 ก็ยังติดลบอยู่ แต่สิ่งที่ประหลาดใจเมื่อบริษัทติดลบ สวนทางกับหุ้น ถามว่าทำไมหุ้นพุ่งขึ้นได้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ต้องไปตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้น มีคนสงสัยว่าปั่นหุ้นหรือไม่ ตนจะยื่นเรื่องไปยังป.ป.ช. และเมื่อวันที่ 18 ก.ค. ที่ผ่านมาตนได้ตรวจสอบพบว่ามูลค่าหุ้นเท่ากับ6.70บาท จากราคาหุ้นไม่กี่สตางค์ ตนไม่เชื่อว่าบริษัทที่ประกอบการขาดทุนหุ้นจะขึ้นได้ขนาดนี้

จากนั้นเวลา 20.45 น. นายสุชาติ ลุกขึ้นชี้แจงว่า เรื่องที่บอกว่าเป็นญัตติเถื่อนมันจบไปแล้ว ถามกลับว่านายนิคม ได้เซ็นร่างญัตติ 10 คน หรือ 11 คน ถ้าไม่ตอบก็เก็บไว้ตอบตอนเจอกันก็ได้ ส่วนเรื่องหุ้นกองทุนประกันสังคมนั้น ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือเข้าไปรู้เห็นเกี่ยวข้องกับการซื้อขายหุ้น ประกันสังคมมีผลตอบแทนแก่ผู้ประตนปีละ 7-8 หมื่นล้าน แม้อดีตเลขาธิการสำนักงานประกันสังคมซื้อขายหุ้นหรือมีปัญหาต่างๆ แต่ที่ผ่านมาได้มีการดำเนินคดีไปแล้ว เชื่อว่าไม่มีใครทำผิดกฎหมายในส่วนนี้ รวมทั้งก็มีบอร์ดประกันสังคมที่มาจากหลายภาคส่วนด้วย

นายสุชาติ กล่าวว่า กรณีที่หุ้นในบริษัทอรินสิริแลนด์ มหาชน จำกัดของตนเอง คู่สมรส และบุตร ยืนยันว่าตนให้ความสำคัญกับข้อกฎหมายทุกฉบับที่เกี่ยวข้องกับการขัดกัน ซึ่งผลประโยชน์ และการประพฤติมิชอบ เพราะตนเป็นคนทำอะไรทุกอย่างด้วยความโปร่งใส และความซื่อสัตย์ต่อความไว้วางใจของประชาชน

ฉะนั้นเมื่อตนรับตำแหน่งรมว.แรงงาน ตนต้องทำตามรัฐธรรมนูญปี 2560 และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 และพ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ.2543 ขอยอมรับว่าก่อนเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี และรับเลือกตั้ง ตนได้ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มายาวนาน ซึ่งบริษัทดังกล่าวได้ค้าขายและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จริง ไม่ได้ค้าแป้ง จึงไม่ได้ทำอะไรที่ผิดกฎหมายเสียภาษีถูกต้อง

นายสุชาติ กล่าวด้วยว่า เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 2563 ก่อนดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ตนแจ้งต่อประธานป.ป.ช. ภายใน 8 วัน หรือเมื่อวันที่ 13 ส.ค. 2563 และแจ้งก่อนกำหนดภายใน 30 วันด้วย ขอย้ำว่าตนได้จัดการหุ้นโดยโปร่งใส เพราะได้โอนหุ้นให้ผู้อื่นจัดการบริหารเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ดีตนไม่คิดว่าจะเอาเรื่องนี้มาพูด แต่ทราบจากสื่อว่าจะเอาเรื่องนี้มาพูด

“การจัดการหุ้นปฏิบัติ ผมตามกฎหมายทุกประการ เรื่องภรรยาผมที่เป็นกรรมการผู้จัดการก็เป็นก่อนที่ผมเป็นรัฐมนตรี ผมนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ต้องการให้ทุกคนที่เข้ามาเป็นนักการเมืองเป็นคนที่คลีน ทำธุรกิจเปิดเผย เสียภาษีถูกต้อง ก่อนผมเป็นรัฐมนตรีบริษัทที่ทำโอนบ้านเสียภาษีหลายสิบล้าน ดีกว่าหลายคนที่ไม่รู้ว่าเสียภาษีหรือเปล่า” นายสุชาติ กล่าว

จากนั้นนายนิคม ลุกขึ้นอภิปรายต่อว่า เรามีญัตติเดียวยื่นครั้งเดียว ซึ่งมีทั้งหมด 11 คน โดยมีนายสุชาติ เป็นคนสุดท้าย เรื่องนี้ควรถามนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ทำให้นายสุชาติ ลุกขึ้นชี้แจงต่อว่า ตนเป็นคนจบแล้วจบ ตนไม่ได้กลัวญัตติ แต่ถามกลับว่า ญัตติแรกนั้นตนมีร่าง 10 คนอยู่ในมือ แล้วมา 11 คนเพิ่มเติม ถามว่า 182 มาเซ็นใหม่หรือไม่ ตนมีหนังสือจากหัวหน้าพรรคบางคนด้วย ตนไม่มีปัญหา แต่อย่ารื้อเรื่องเหล่านี้ จากนั้้นนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาฯคนที่สอง ทำหน้าที่ประธานที่ประชุมขอให้นายสุชาติจบเรื่องนี้ได้แล้ว ขออย่าขยายต่อ เพราะไม่เกี่ยวกับเนื้อหาการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

Continue Reading
Advertisement ad-02-doosoft.jpg
Advertisement QK6ZtN.png

Copyright © 2022 TOJO.NEWS

%d bloggers like this: