พิธา ปราศรัย เย้ยทักษิณ ลั่นเวที โดนยึดอำนาจไปสองครั้ง พูดถูกแต่ที่ตนไม่เข้าใจคือทำไมไปจับมือกับพรรคที่มาจากคณะรัฐประหาร
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ปรึกษาประธานคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน ระบุว่า ก่อนที่จะมีเวทีปราศรัย มีการพูดพาดพิงถึงตนจากนายทักษิณมาก ตนบินกลับมาเมืองไทยประกาศตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน 2567 นักเรียนปิดเทอมพอดี ใช้โอกาสที่เป็นวันหยุดขอบคุณพระเจ้านี้กลับมาที่เมืองไทย แต่นายทักษิณบอกว่าตนกลับมาเพราะกลัวแพ้
ถามว่ากลัวแพ้ได้อย่างไรเพราะแพ้มาตั้งเยอะแล้ว แต่ชนะมาก็แยะเหมือนกัน ทั้งอุดรธานีเขต 1 ทั้งที่บ้านเกิดทักษิณเอง หรือแม้แต่เขตบ้านจันทร์ส่องหล้าก็ชนะมา แต่ชนะได้ก็แพ้ได้ เขต 1 ปี 2562 เราก็แพ้มาก่อน แต่ก็กลับมาสู้ในปี 2566 จนได้รับความไว้วางใจจากประชาชนชนะมาได้
แน่นอนตนเข้าใจดีว่าการเลือกตั้งระดับชาติกับแบบท้องถิ่นไม่เหมือนกัน อุดรธานีเป็นเมืองหลวงของประชาธิปไตยก็จริง แต่ก็เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีการมาใช้สิทธิของประชาชนอยู่ในลำดับน้อยที่สุดในประเทศ แต่ตนก็เข้าใจหัวอกชาวอุดรธานีที่ไปทำงานอยู่ต่างประเทศ คนหนุ่มสาวจำนวนมากไม่สามารถกลับมาใช้สิทธิได้ เข้าใจว่าสู้กันอีกแบบหนึ่ง คราวนี้จึงมั่นใจแต่ไม่ประมาท ทุกคนที่นี่จึงต้องไปใช้สิทธิกันให้มากในวันที่ 24 พฤศจิกายนนี้
นายพิธากล่าวต่อไปว่า ที่นายทักษิณยังบอกอีกว่าทำไมพรรคนี้ต้องมีสองป้าย นายคณิศรคู่กับนายณัฐพงษ์บ้าง คู่กับตนบ้าง คำตอบมันง่ายแค่ว่าเราต่างมีอุดมการณ์เดียวกัน ตนในฐานะอดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกลมาเป็นคนเปิดตัว นายณัฐพงษ์มาช่วยหาเสียง เพราะเป็นช่วงเดียวกับการยุบพรรคพอดีก็เท่านั้น ตนขอให้ชาวพรรคประชาชนช่วยกันอดทน ให้กำลังใจ และให้เวลากับนายณัฐพงษ์เหมือนที่ให้กำลังใจกับตน เขาคือเอไอทางการเมือง ที่ใช้เทคโนโลยีในการทำงาน วิเคราะห์งบประมาณ จนเปลี่ยนการทำงบประมาณในการเมืองไทยมาแล้ว
นายทักษิณยังบอกอีกว่าประชาชนยังไม่หายจนเพราะโดนยึดอำนาจไปสองครั้ง นายทักษิณพูดถูกแต่ที่ตนไม่เข้าใจคือทำไมไปจับมือกับพรรคที่มาจากคณะรัฐประหาร แบบนี้ไม่รู้จะเรียกว่าเกลียดตัวกินไข่เกลียดปลาไหลกินน้ำแกงได้หรือไม่ เสียดายที่ตอนอยู่ร่วมกัน ถ้าร่วมมือกันประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิม แต่ทิ้งโอกาสนั้นแล้วยังบอกว่าอย่าไปแก้โครงสร้างอะไรมากนัก
ที่นายทักษิณบอกว่าอยากให้เกิดความเท่าเทียมทางโอกาส ตนขอเรียกร้องว่าให้มาวัดกันที่การเลือกตั้ง อบจ. นี้เลย พรรคประชาชนมีนโยบายชัดเจน ที่ต้องทำอย่างแรกคือสาธารณสุข ไม่มีใครเข้าใจดีเท่านายคณิศรที่มีลูกสาวเป็นหมอ งบประมาณ 1,200 ล้านบาทเป็นงบประมาณสาธารณสุขเพียง 35 ล้านบาท อุดรธานีเป็นจังหวัดที่มีปัญหาทั้งจำนวนหมอต่อประชากร จำนวนเตียงต่อประชากร และจำนวนผู้สูงอายุที่ป่วยโรคสำคัญ 5 โรค ล้วนเป็นปัญหาใหญ่ แต่งบประมาณมีแค่นี้
พรรคประชาชนคำนวณมาแล้วว่าต้องเพิ่มหมอต่อประชากรอีก 650 คน เพิ่มเตียงอีก 320 เตียง นี่คือความเท่าเทียมทางโอกาสหนึ่ง คือโอกาสในการเข้าถึงสาธารณสุขที่คนอุดรธานีไม่เคยเข้าถึง นายก อบจ. ต้องมีวิสัยทัศน์ เช่นด้านการท่องเที่ยว อบจ.อุดรธานีของนายคณิศรจะจัดให้มีรถเมล์ไฟฟ้า ชาวอุดรธานีจะได้ประโยชน์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยจากการท่องเที่ยว และจะตั้งกองพาณิชย์เพื่อดูแลพ่อค้าแม่ขายในอุดรธานี
#เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS