Connect with us

Politics

ส่องแนวทาง! ‘สมคิด’ พาประเทศพ้นวิกฤต ไร้อนาคต

Published

on

“สมคิด” แจงหยิบวิกฤติเศรษฐกิจ แนะหนทางรัฐบาลแก้ปัญหา พาประเทศพ้นลำบาก

ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวปราฐกถาพิเศษ ปิดหลักสูตรผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง (LFC) รุ่น 12 ที่จัดโดยมูลนิธิสัมมาชีพ พร้อมกับกล่าวช่วงหนึ่งว่า การบรรยายครั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี เต็มนับตั้งแต่พ้นตำแหน่ง เพราะคิดว่าเมื่อออกจากหน้าที่แล้วไม่อยากที่จะพูดอะไรที่กระทบกระทั่งกับคนที่เขาทำงานอยู่โดยที่ไม่ตั้งใจ ทั้งนี้ มูลนิธิสัมมาชีพได้รับอิทธิพลมาจาก นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส โดยเมื่อสัปดาห์ก่อนได้พบกับ นพ.ประเวศ ท่านเป็นปราชญ์ที่รู้จริงซึ่งในสังคมมีไม่มาก เป็นคนดีที่ไม่เคยเสื่อมเลยในวัย 91 ปี ไม่ใช่หาได้ง่ายๆ อีกทั้ง 2 ปีเต็มที่ห่างออกไปซึ่งไม่ยาวนัก หลายสิ่งเปลี่ยนแปลงไปทั้งภายนอกและภายใน และเป็นพัฒนาการที่นำไปสู่สิ่งที่น่าห่วงใย คิดว่าเราทุกคนต้องตระหนักเอาไว้ ร่วมกันคิดว่าจะช่วยกันอย่างไรในอนาคตข้างหน้า ตนอาจจะคิดแล้วไม่ถูกต้อง อาจจะมีผิดพลาด แต่ให้ถือว่าตนมีจิตใจบริสุทธิ์ที่หวังดี

นายสมคิด กล่าวว่า ข้อห่วงใยของตนคือ สิ่งที่โลกกำลังเผชิญอยู่นี้มีความเสี่ยงที่สูงขึ้นเรื่อยๆ มีความไม่แน่นอนที่มากขึ้นเรื่อยๆ เมฆหมอกแห่งความไม่แน่นอนนั้นมันหนาขึ้นทุกๆวัน จนกระทั่งจะจินตนาการอนาคตยากมาก เพื่อความไม่ประมาท ทุกคนจึงต้องเตรียมตัว โดยเฉพาะผู้ที่มีความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง สำหรับภาวะโควิดนั้น เราเคยคาดกันว่า ถ้ามีวัคซีนที่ดี มีการบริหารจัดการที่ดี มีการฉีดวัคซีนในอัตราที่สูง วันหนึ่งข้างหน้าไม่นานนักมันควรจะยุติได้ แต่ปรากฏว่าถึงวันนี้จริงๆ แล้วยังไม่มีวี่แววว่าจะยุติได้ ภาวะโควิดมันมีผลทำให้เศรษฐกิจกระทบหนักมาก กระบวนการผลิต จ้างงาน ชีวิตความเป็นอยู่ ล้วนแล้วถูกกระทบทั้งสิ้น ฐานะการเงินการคลังทุกประเทศตรึงไปหมด เพราะต้องเอามาดูแลความเป็นอยู่ประชาชน สิ่งเหล่านี้มองไปข้างหน้าไม่มีวี่แววว่าจะจบตรงไหน

นายสมคิด กล่าวว่า เกือบทุกประเทศขณะนี้ตัดสินใจไม่ล็อคดาวน์ ประกาศว่าจะอยู่กับมัน ให้มันเป็นโรคประจำถิ่นโดยที่ไม่มีการบริหารจัดการ แปลว่าตัวใครตัวมัน ใครอ่อนแอก็ติดแล้วตาย ใครแข็งแรงติดแล้วก็รอด ซึ่งจริงๆ แล้วต้องบริหารจัดการมัน การตรวจคัดกรองต้องเข้ม มาตรการต้องมี วัคซีนต้องพอ การฉีดต้องไปให้ทั่วถึง ใครติดต้องมียา ใครอาการหนักต้องอยู่สถานพยาบาล ไม่ใช่ปล่อยอยู่กันอย่างเคร่งเครียด อนาคตข้างหน้าเกือบทุกประเทศรวมถึงไทยต้องอยู่กับมัน หวังว่าการบริหารจัดการต้องเข้มข้น ตัวเลขที่ประกาศต้องเชื่อถือได้ สิ่งเหล่านี้สำคัญมากเพราะไม่รู้จะอยู่กับมันอีกนานเท่าไหร่

นายสมคิด กล่าวว่า ขณะที่ภาวะสงครามในยูเครน มันคงไม่ยุติกันง่ายๆ เพราะไม่ได้เกิดขึ้นโดอุบัติเหตุ แต่เป็นสงครามที่แต่ละฝ่ายมีเป้าประสงค์ มีความตั้งใจของตนเอง ฉะนั้น ตราบใดเป้าประสงค์เหล่านั้นยังไม่บรรลุก็ยากที่จะบอกว่ามันจะจบเมื่อไหร่ เมื่อภาวะสงครามบวกกับภาวะโควิดมันจึงสร้างผลกระทบที่รุนแรงมาก ใครจะไปรู้ว่าสงครามใหญ่จะเกิดขึ้นหรือไม่ ยูเครนเป็นแค่หมากการเมืองตัวแรกของการต่อสู้เชิงภูมิรัฐศาสตร์ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากๆ คือ ผลกระทบทางสังคมและการเมือง เมื่อไหร่ที่เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ คนที่ถูกกระทบมากที่สุดคือ คนที่ยากจน และเมื่อไหร่ที่ดูแลเขาไม่ทัน มันจะถูกนำใช้ในทางการเมือง เราเห็นการเปลี่ยนแปลงมาแล้วในหลายประเทศ เช่น ศรีลังกา ฟิลิปปินส์ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก ถ้าหากโควิดกับสงครามยังไม่จบ เขาบอกว่าอย่าเพิ่งนับศพทหาร อย่าประมาทถ้าเราเป็นผู้ที่ดูแลบ้านเมือง ต้องคิดล่วงหน้าหนึ่งก้าวเสมอ เพราะเป็นหน้าที่ของคุณ

นายสมคิด กล่าวว่า สิ่งที่ประเทศเรากำลังเผชิญอยู่นั้นเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ และคอนโทรลไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ มีความเสี่ยงสูงการบริหารจัดการต้องเข้มข้น ต้องเอาใจใส่ ต้องคิดล่วงหน้ามากกว่าประชาชนธรรมดา แต่ละท่านที่กำกับดูแลในหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพราะมันเป็นหน้าที่ ลองนึกภาพดูแล้วกัน ตั้งแต่มีโควิด 2 ปีแล้ว รัฐบาลมีความจำเป็นต้องใช่จ่ายอย่างมากในการดูแลประชาชน ประคองเศรษฐกิจให้พออยู่ได้ แต่หากข้างหน้ายังมองไม่เห็นทางออกชัดเจน แปลว่าจากวันนี้เป็นต้นไป เราต้องพยายามดูว่าจะใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร ทำอย่างไรให้เม็ดเงินทุกเม็ดสามารถฉุดประเทศให้พ้นจากหลุมที่มันดูดเราอยู่ได้ ทำให้ธุรกิจลุกขึ้นมาเดินต่อได้ สถานปัจจุบันมันไม่ปกติ จะบริหารแบบสถานการณ์ปกติไม่ได้ ต้องหากลไกที่ไม่ปกติ กลไกนอกรูปแบบ คิดนอกกรอบเพื่อให้เขาอยู่ได้ จำเป็นอย่างยิ่งและท้าทายผู้ที่ทำอยู่นี้

นายสมคิด กล่าวว่า ประเทศเราเป็นประเทศขนาดเล็ก มีทรัพยากรจำกัด การบริหารงบประมาณแผ่นดินจึงสำคัญ จะใช้วิธการบริหารการคลังแบบปกติไม่ได้ และในการบริหารการคลังของประเทศ มีผู้แทนอยู่ 4 สถาบันหลัก ประกอบด้วย สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในภาวะปกติ 4 สถาบันนี้พยายามประนีประนอมกับภาคการเมือง แต่ในภาวะที่ไม่ปกติ มีภาวะที่หนักหน่วง 4 สถาบันต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ เป็น 4 เสาหลักของแผ่นดิน ถ้าท่านเสียงแข็งใครก็เขย่าท่านไมได้ เชื่อตน การจัดทำงบประมาณต้องดูอะไรสำคัญก่อนหลัง อะไรที่ไม่สำคัญเอาไว้ก่อน แม้งบผูกพันสามารถชะลอหรือแช่แข็งได้ เพราะปัจจุบันภาระเราจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากดอกเบี้ยสูง

Continue Reading
Advertisement ad-02-doosoft.jpg
Advertisement QK6ZtN.png

Copyright © 2022 TOJO.NEWS

%d bloggers like this: