Connect with us

Politics

เปิดคำแถลง! “ชัยธวัช” จับพิรุธ 2 ปมสำคัญ ฟื้นคืนชีพไอทีวี!!

Published

on

ชัยธวัช แถลง!! ปมหุ้น ITV ชี้ 2 ปมสำคัญ! สะกัดพิธาก่อนโหวตนายกฯ หลังคำตอบประธานกรรมการฯ ขัดแย้งกับเอกสาร

ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า 12 มิ.ย.66 ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล แถลงข่าวประเด็นการถือครองหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น ITV ที่ เมื่อวาน (11 มิ.ย.) มีข้อมูลที่มีนัยสำคัญ เพราะการตอบคำถามของประธานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ของบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) มีความขัดแย้งไม่สอดคล้องกับเอกสารบันทึกการประชุม รวมถึงแบบนำส่งงบการเงิน

ชัยธวัช ตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อมีเอกสารบันทึกการประชุมออกมา เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ก็ได้นำเอกสารนี้ไปใช้เป็นหลักฐานสำคัญในการยื่นร้องต่อสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ตรวจสอบการถือหุ้นไอทีวีของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เมื่อวันที่ 10 พ.ค.66

ทั้งนี้ ก่อนที่นายเรืองไกรจะไปยื่นร้องต่อ กกต. นั้น นิกม์ แสงศิรินาวิน ผู้สมัคร ส.ส. กรุงเทพฯ พรรคภูมิใจไทย ได้โพสต์ข้อความในเพจเฟสบุ๊กของตนเองเมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2566 ก่อนการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทไอทีวี 2 วันว่า “นักการเมืองที่กำลังถือหุ้น ITV เตรียมตัวประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี และมอบตัว กกต. ด้วย หัวหน้าพรรคหนึ่งถือ 42,000 หุ้น”

โพสต์ดังกล่าวทำให้เป็นที่น่าสงสัยว่า มีการวางแผนจะให้ ภานุวัฒน์ ขวัญยืน ผู้ถือหุ้นไอทีวีที่รับโอนหุ้นมาจากนายนิกม์ และยังเป็นผู้จัดการคลินิกของครอบครัวของนายนิกม์ด้วยนั้น ตั้งคำถามในที่ประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี เพื่อต้องการให้ผู้บริหารของไอทีวีตอบว่า ไอทีวียังดำเนินกิจการสื่อมวลชนอยู่ ใช่หรือไม่
แต่เมื่อ คิมห์ สิริทวีชัย ประธานคณะกรรมการบริษัท ตอบคำถามในที่ประชุมว่า ตอนนี้ไอทีวียังไม่มีการดำเนินกิจการสื่อ

ภายหลังกลับมีการบันทึกการประชุมให้เข้าใจได้ว่า ปัจจุบันไอทีวียังดำเนินกิจการสื่ออยู่ ซึ่งพฤติการณ์เช่นนี้ เข้าข่ายการทำรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นเท็จหรือไม่ และถือเป็นการทำผิดกฎหมายอีกหลายฉบับ ใช่หรือไม่
เรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ผู้มีอำนาจในบริษัทไอทีวี รวมทั้ง จิตชาย มุสิกบุตร กรรมการผู้สอบทานและแก้ไขรายงานการประชุม ต้องตอบคำถามต่อสังคมให้ชัดเจน

ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า จิตชาย กรรมการผู้สอบทานและแก้ไขรายงานการประชุมนั้น ยังเป็นผู้บริหารสายงานกฎหมายและเลขานุการบริษัทของ บมจ. อินทัช โฮลดิ้งส์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของไอทีวีอีกด้วย ทำให้มีคำถามว่า บริษัท อินทัช รับรู้หรือเกี่ยวข้องกับแก้ไขรายงานให้ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในการประชุมด้วยหรือไม่

ประเด็นที่กล่าวมา เป็นหนึ่งในข้อพิรุธที่ พิธา ได้เคยตั้งคำถามไว้ว่า นี่คือความพยายามฟื้นคืนชีพไอทีวีให้กลับมาเป็นสื่อมวลชน เพื่อสกัดกั้นการจัดตั้งรัฐบาลตามฉันทานุมัติของประชาชนผ่านการเลือกตั้ง ใช่หรือไม่ ซึ่งพฤติการณ์เช่นนี้อาจเข้าข่ายกระทำการอันเป็นเท็จ เพื่อจะแกล้งให้ผู้สมัคร ส.ส. ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งมีความผิดตาม ม.143 ของ พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.
ข้อพิรุธอีกประการ

หากพิจารณาใจความสำคัญของข้อความที่ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขในบันทึกรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นของไอทีวี คือแก้ไขคำตอบของ คิมห์ สิริทวีชัย ประธานในที่ประชุม ต่อนายภาณุวัฒน์ ขวัญยืน จาก “ตอนนี้บริษัทยังไม่มีการดำเนินการใดๆ รอผลคดีความให้สิ้นสุดก่อน” กลายเป็น “ปัจจุบันบริษัทยังดำเนินกิจการอยู่ ตามวัตถุประสงค์ของบริษัท และมีการส่งงบการเงินและยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลตามปกติ” นั้น

ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับแบบนำส่งงบการเงิน (ส.บช.3) ที่ไอทีวียื่นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าในวันที่ 10 พ.ค. 2566 ก่อนวันเลือกตั้ง 4 วัน และเป็นวันเดียวกับที่ เรืองไกร ไปยื่นร้องต่อ กกต. หรือไม่
เพราะเมื่อพิจารณาแบบนำส่งงบการเงิน (ส.บช.3) ที่ไอทีวียื่นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2566 จะพบว่ามีการระบุประเภทธุรกิจว่า ‘สื่อโทรทัศน์’ และระบุสินค้า/บริการว่า ‘สื่อโฆษณาและผลตอบแทนจากการลงทุน’ จากเดิมที่เอกสารงบการเงิน (ส.บช.3) ของไอทีวีในปีบัญชี 2561-2562 ระบุประเภทธุรกิจว่า ‘กิจกรรมของบริษัทโฮลดิ้งที่ไม่ได้ลงทุนในธุรกิจการเงินเป็นหลัก’ แล้วในปีบัญชี 2563-2564 ระบุประเภทธุรกิจว่า ‘สื่อโทรทัศน์’ โดยในส่วนสินค้า/บริการ ระบุว่า “ปัจจุบันไม่ได้ดำเนินการเนื่องจากติดคดีความ”
การเปลี่ยนแปลงข้อความในแบบนำส่งงบการเงินครั้งหลังสุดของไอทีวีดังกล่าว

ขัดแย้งกับการตอบของนายคิมห์ ที่ว่า “ผลของคดีเป็นจุดสำคัญที่สุดของบริษัท ถ้าผลคดียังไม่ได้ออกมา มันเป็นไปได้ยากมากที่เราจะดำเนินการใด ๆ กับไอทีวี” แสดงให้เห็นว่า เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2566 คิมห์ สิริทวีชัย มิได้ทราบถึงข้อเท็จจริงที่ว่าไอทีวีประกอบกิจการสื่อโทรทัศน์

และมีรายได้จากสื่อโฆษณาแต่อย่างใด
“แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรว่า แบบนำส่งงบการเงิน ที่ไอทีวีนำส่งงบการเงินรอบปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2565 ในวันที่ 10 พ.ค. 2566 จะระบุว่า รายได้ของไอทีวีในรอบปี 2565 มาจากสื่อโทรทัศน์ โดยมีสินค้า/บริการ คือสื่อโฆษณา มิพักต้องกล่าวถึงกรณีที่ คิมห์ ได้ตอบผู้ถือหุ้นถึงแนวโน้มที่จะมีการชำระบัญชี ปิดบริษัทหลังจากทราบผลของคดีด้วยซ้ำ”

จากข้อพิรุธนี้ ยังทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับรายงานงบแสดงฐานะการเงินไตรมาส 1/2566 ของไอทีวี ถ้าไอทีวีมีแผนธุรกิจดังกล่าวจริง คิมห์ ย่อมต้องแจ้งในที่ประชุมผู้ถือหุ้นตั้งแต่วันที่ 26 เม.ย. ถึงความเป็นไปได้ในการมีแผนธุรกิจใหม่แล้ว แต่ปรากฏว่าหลังจากการประชุมผู้ถือหุ้นเพียง 2 วัน คือ วันที่ 28 เมษายน 2566 คณะกรรมการบริษัทมีมติรับทราบ “แผนธุรกิจใหม่” ในช่วงไตรมาสที่ 2/2566 และบริษัทจะรับรู้รายได้ในไตรมาสเดียวกันทันที ซึ่งผิดวิสัยเป็นอย่างยิ่ง ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้น 2 วัน คิมห์ ซึ่งเป็นประธานในที่ประชุมผู้ถือหุ้น ยังไม่เคยรับทราบความเป็นไปได้ในการดำเนินกิจการใด ๆ และยังให้ข้อมูลตอบผู้ถือหุ้นว่า จนกว่าคดีจะถึงที่สุด เป็นไปได้ยากมากที่บริษัทจะดำเนินการใดๆ

“การดำเนินการเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในบันทึกรายงานการประชุมดังกล่าวให้แตกต่างจากการตอบข้อซักถามตามคลิปการประชุมจึงไม่น่าจะใช่ความผิดพลาดโดยบังเอิญ หรือเป็นการจัดทำเอกสารรายงานการประชุมตามแบบแผนปกติ หากแต่เมื่อวิญญูชนได้ทราบถึงพฤติการณ์ดังกล่าวแล้ว ย่อมเกิดข้อสงสัยได้ว่า เป็นการจงใจแก้ไขให้สอดรับกับบรรดาเอกสารต่าง ๆ ที่ตกแต่งจัดทำขึ้นในภายหลังหรือไม่”

ชัยธวัช ยังระบุว่า พรรคก้าวไกลขอยืนยันกับพี่น้องประชาชนว่า เราจะพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อปกป้องรักษาเสียงของประชาชน ผู้มีอำนาจสูงสุดของประเทศในระบอบประชาธิปไตยให้ได้ แม้จะมีความพยายามจากบุคคลบางกลุ่มที่ต้องการจะใช้ประเด็นหุ้นไอทีวีเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หัวหน้าพรรคก้าวไกลหยุดปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก่อนที่จะมีการประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่
พรรคก้าวไกลยังเชื่อมั่นว่า อำนาจของประชาชนจะได้รับชัยชนะในที่สุด และคณะกรรมการการเลือกตั้งจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างบริสุทธิ์และยุติธรรมตามเจตจำนงของรัฐธรรมนูญ ประกอบกับบรรทัดฐานคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและศาลฎีกาที่ผ่านมา

ส่วนกรณีที่ กกต. อาจจะดำเนินคดีกับ พิธา ในอนาคต ตามความผิดฐานรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 151 ของ พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. นั้น พรรคก้าวไกลมั่นใจว่า ข้อกล่าวหานี้ไม่มีพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักเพียงพอ เช่นเดียวกับที่อัยการสูงสุดได้มีคำสั่งไม่ฟ้อง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไปแล้วเมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2565 ในคดีหุ้นวีลัค
“สำหรับการเปิดโปงขบวนการปลุกผีไอทีวีครั้งนี้ พรรคก้าวไกลขอขอบคุณการทำงานอย่างหนักของสื่อมวลชน อดีตผู้สื่อข่าวไอทีวีเก่า แม้ไอทีวีจะยุติการดำเนินงานไปหลายปีแล้ว แต่จิตวิญญาณของสื่อมวลชนมืออาชีพที่ก่อร่างมาตั้งแต่ยุคไอทีวี ยังคงอยู่ในตัวผู้สื่อข่าวเหล่านี้เสมอ” ชัยธวัช กล่าว

ชัยธวัช เน้นย้ำว่า หลักฐานเหล่านี้มีส่วนสำคัญที่จะทำให้สังคมได้เห็นว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ความพยายามที่จะปกป้องเจตจำนงของรัฐธรรมนูญ ที่ไม่ต้องการให้นักการเมืองไปมีส่วนในการครอบงำสื่อมวลชน เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง แต่เป็นกระบวนการที่พยายามหาเงื่อนไขมาขัดขวางการจัดตั้งรัฐบาลตามฉันทานุมัติของประชาชน

เมื่อถามว่าหลักฐานคลิปวิดีโอไม่ได้หักล้างโดยตรงว่า พิธา ได้ถือหุ้นไว้จริงหรือไม่ ชัยธวัช ตอบว่า มีส่วนสำคัญ หากฟังดีๆ จะมีเนื้อหาบางส่วนที่มีนัยสำคัญ ว่าตกลงไอทีวียังดำเนินกิจการสื่อมวลชนอยู่หรือไม่ และอาจนำไปสู่การฟ้องร้องดำเนินคดีกับกระบวนการปลุกผีไอทีวีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หลายราย

ส่วนใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังกระบวนการนี้ ชัยธวัช กล่าวว่า ตอนนี้ยังเร็วไปที่จะกล่าวหาคนใดคนหนึ่ง แต่เชื่อว่าพี่น้องประชาชนสามารถคาดเดาได้จากพฤติกรรมดังกล่าว ว่ามีใครบ้างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ โดยพรรคก้าวไกลเริ่มเห็นแล้วว่าพอจะมีใครบ้างที่เกี่ยวข้อง แต่ยังไม่ทราบว่ามีพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องอยู่เบื้องหลังหรือไม่

ขณะที่จะดำเนินคดีกับใคร และเมื่อไหร่นั้น ชัยธวัช ระบุว่า กำลังพิจารณาอยู่
หาก กกต. มีการสอบสวนเรื่องนี้เพื่อเตรียมส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ชัยธวัช กล่าวว่า เราก็จะต่อสู้เต็มที่ทางข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพื่อไม่ให้ไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ แต่เชื่อว่าคงไม่มีใครกล้ารวบรัดตัดตอนฟ้องร้องได้อีก เพราะเห็นแล้วว่ากรณีนี้มีความซับซ้อน
ขณะที่ทางไอทีวีก็ไม่มีเหตุผลที่จะรีรอ ไม่ชี้แจง ควรต้องเปิดเผยคลิปการประชุมฉบับเต็ม เพื่อให้สังคมหายสงสัย ไม่มีเหตุผลที่จะชะลอการเปิดคลิปออกมา

เมื่อถามย้ำว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังใช่อดีตผู้สมัคร ส.ส.อนาคตใหม่ หรือไม่ ชัยธวัช ตอบทันทีว่า “ไม่ใช่ ตัวเล็กไป”
“สำหรับเรื่องที่บอกว่า มีการสร้างเอกสารเท็จ โจทก์อาจจะกลายเป็นผู้ต้องหา และผู้ต้องหาอาจจะกลายเป็นโจทก์ก็ได้ … อย่าเพิ่งสรุปตอนนี้ ต้องรอดูข้อเท็จจริง ว่าทางไอทีวีและผู้เกี่ยวข้อง ถ้าเรื่องนี้ตรงไปตรงมาจริงๆ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะชะลอการชี้แจงและเปิดเผยหลักฐานทั้งหมด โดยเฉพาะคลิปฉบับเต็ม” ชัยธวัช กล่าว

ชัยธวัช ยังกล่าวว่า หากเรื่องนี้มีความกระจ่าง ส.ว.ก็ไม่มีข้ออ้างในการโหวต พิธา เป็นนายกฯ ขณะที่ รายละเอียดในการต่อสู้ทางกฎหมายต้องรอว่า กกต. จะส่งเรื่องมาที่พรรคก้าวไกลอย่างไร
“ผมคิดว่าตอนนี้สังคมกำลังรอคำตอบจากไอทีวี ส่งถึงผู้บริหารสายงานกฎหมายของอินทัช ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลง การตรวจสอบ และอีกหลายคนที่อาจเกี่ยวข้องกับงบการเงินของบริษัทไอทีวี” ชัยธวัช ระบุ

#เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS

Continue Reading
Advertisement ad-02-doosoft.jpg
Advertisement QK6ZtN.png

Copyright © 2022 TOJO.NEWS

%d bloggers like this: