จตุพร ฟันฉับ! การทำเป็นขบวนการช่วยทักษิณ ไม่ให้ติดคุกสักวัน จึงเข้าข่ายสมคบคิดการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อนว่า พวกกองเชียร์ และนายแบก-นางแบก รวมทั้งฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยเริ่มโหมปั่นกระแสชั้น 14 และด้อยค่าผลสอบสวนของแพทยสภา โดยมุ่งหวังแก้ไขสิ่งที่ผิดให้เป็นถูกเพื่อช่วยทักษิณ ชินวัตร หลบเลี่ยงการติดคุก
ทั้งนี้ ผลสอบสวนของแพทยสภาระบุว่า รายงานทางการแพทย์รักษาทักษิณ ไม่ตรงข้อเท็จจริง ซึ่งมีความหมายเป็นรายงานเท็จ ดังนั้น การรักษาของแพทย์ย่อมเข้าข่ายผิดจริยธรรม จึงถูกลงโทษพักใบอนุญาต 2 แพทย์ โดยเข้าใจว่าเป็นแพทย์ รพ.ตำรวจ และตักเตือน 1 แพทย์จาก รพ.ราชทัณฑ์
อย่างไรก็ตาม การป่วยที่ไม่จริงและการรักษาของแพทย์ที่เป็นเท็จจะมาอ้างเมตตาธรรม และสิทธิตาม รธน. หรืออ้างกฎหมายและระเบียบราชทัณฑ์มาต่อสู้เพื่อให้สิ่งที่ผิดกลายเป็นถูกกฎหมายคงไม่ได้ อีกอย่างมติของแพทยสภาด้วยเสียงข้างมาก ๆ แปลความว่า มีเสียงมากกว่า 2 ใน 3 ของที่ประชุมให้ลงโทษแพทย์ที่ทำรายงานการรักษาเท็จ หรือไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์แสดงถึงภาวะการป่วยวิกฤต
นอกจากนี้ มติ 2 ใน 3 ของแพทยสภา ถ้าขั้นถัดไปยื่นให้ รมว.สาธารณสุข ต้องมีความเห็นภายใน 15 วัน ซึ่งคงสิ้นสุดในวันที่ 8 มิ.ย.นี้ ถ้า รมว.สาธารณสุขคัดค้านการลงโทษข้อหาผิดจริยธรรม แต่ไม่อาจมีความเห็นแย้งข้อเท็จจริงทางการแพทย์ได้ ส่วนแพทยสภาสามารถใช้มติจำนวน 2 ใน 3 ยืนยันมติเดิม จึงไม่น่าเป็นปัญหาของแพทยสภา
อีกทั้งกล่าวว่า กรณีนี้อาจเสร็จสิ้นก่อนถึงวันศาลฎีกานักการเมืองนัดพร้อมหรือไต่สวนวันที่ 13 มิ.ย.นี้ ดังนั้น รมว.สาธารณสุข คงรอบคอบ ไม่ผลีผลามคัดค้าน เพราะถ้าเป็นเช่นนี้ยิ่งซ้ำเติมให้เป็นปัญหาอื่นที่ใหญ่กว่าตามมาอีก
นายจตุพร กล่าวว่า ข้อเท็จจริงจากการสอบสวนของแพทยสภาคงเป็นต้นเรื่องให้ศาลฎีกานักการเมืองนำไปวินิจฉัยกรณีราชทัณฑ์ไม่บังคับหมายจำคุก ซึ่งจะมีผลต่อทักษิณ โดยตรงกับโทษจำคุก และแสดงถึงเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องละเมิดอำนาจศาล เข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157 ระบุถึงการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหาย
“วันที่ 13 มิ.ย.นี้ ถ้าศาลฎีกานักการเมืองเห็นว่า ข้อเท็จจริงมีเพียงพอคงทำการไต่สวนทั้งหน่วยงานและบุคคลที่ศาลออกหมายเรียก หรืออาจวินิจฉัยเสร็จในวันนั้นได้เลย ซึ่งไม่น่าจะยื้อเวลาได้ยาวออกไปอีก แต่ทั้งหมดย่อมเป็นดุลพินิจของศาล ส่วนประสบการณ์ของตัวเองแล้ว ศาลไต่สวน วินิจฉัยวันเดียวจบ”
พร้อมทั้งกล่าวว่า การพยายามปั่นกระแสสังคมแบบเลอะเทอะ โดยอ้างทักษิณ กลับมาช่วงรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีนายวิษณุ เครืองาม รักษาการ รมว.ยุติธรรม แทนนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ที่ลาออกมาสังกัดพรรคเพื่อไทย ซึ่งลามพันกันไปหมดจนถึงรัฐบาลชุดปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม กรณีแพทยสภาพิจารณาเป็นข้อเท็จจริงตามกฎหมาย ไม่ได้เอาเป็นเอาตายกันในทางการเมืองหรืออารมณ์ส่วนตัว ดังนั้น การอ้างถึงหลักเมตตาธรรมมาต่อสู้กับหลักกฎหมายย่อมรับฟังไม่ได้ เพราะหลักนิติรัฐ นิติธรรมต้องมาก่อนหลักเมตตาธรรม
สิ่งสำคัญ ทักษิณ ได้รับหลักเมตตาธรรมแล้วจากพระบรมราชโองการลดโทษจาก 8 ปีเหลือ 1 ปี ซึ่งเป็นพระมหากรุณาธิคุณฯ หาที่เปรียบมิได้ และจากการถวายฎีกา ทักษิณยอมรับกระบวนการยุติธรรมและยอมรับได้กระทำความผิดจริง แต่สำนึกกับการกระทำทุจริตคอร์รัปชั่นนั้นแล้ว
เมื่อทักษิณ ได้รับความเมตตามาแล้ว ยิ่งต้องมีความสำนึกที่ได้รับพระบรมราชโองการลดโทษเหลือ 1 ปี แต่ไม่ติดคุกสักวันเดียว ซึ่งเป็นสิ่งผิดปกตินับตั้งแต่วันกลับไทยไม่นั่งรถตำรวจไปฟังคำพิพากษาของศาล ไม่นั่งรถนักโทษนำตัวไปคุมขังที่เรือนจำ แล้วอ้างป่วยเลือกไปรักษาที่ รพ.ตำรวจ 180 วันและไม่กลับ รพ.ราชทัณฑ์หรือเรือนจำอีกเลย
“ดังนั้น อย่ามาอ้าง รธน. หรือข้อกฎหมาย เพราะถ้าเนื้อเรื่องเป็นความเท็จแล้ว กฎหมายจะให้การคุ้มครองอีกเหรอ เมื่อสองหมอรายงานรักษาเป็นเท็จจึงมิชอบตามกฎหมายอยู่แล้ว”
นายจตุพร กล่าวถึงนายกฯ ช่วงถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจกรณีชั้น 14 บอกให้ฟังรายงานจากแพทยสภาว่า เมื่อแพทยสภารายงานแล้วยังไม่ชี้แจงปัญหาอีก ทั้งที่นายกฯ เป็นบุคคล 1 ใน 10 ที่มีชื่อเข้าเยี่ยมทักษิณที่ รพ.ตำรวจ แต่ภาพที่เห็นแตกต่างจาก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ได้เห็นมาว่า ไม่ได้ป่วยจริง ไม่มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คอยคุ้มกันผู้ต้องขัง
อีกทั้งกล่าวว่า การอ้าง ม. 55 กฎหมายราชทัณฑ์ เพื่อให้ความผิดของทักษิณกลายเป็นสิ่งถูกกฎหมายนั้น แต่การป่วยของผู้ต้องขังมีมาตรฐานการดูแลรักษา หากเกินหน้าที่ของเรือนพยาบาลต้องส่งไป รพ.ราชทัณฑ์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่มีเครื่องมือการแพทย์รักษาอาการป่วยได้ครบถ้วน
อย่างไรก็ตาม ถ้าเกินขีดความสามารถรักษาของ รพ.ราชทัณฑ์ ต้องส่งตัวมาที่ รพ.ตำรวจ เมื่อรักษาได้ 2-3 วันต้องส่งกลับมา รพ.ราชทักณฑ์ตามเดิม แต่ทักษิณ กลับอยู่นาน 180 วัน ซึ่งไม่มีผู้ต้องข้งรายใดได้รับสิทธิเท่านี้มาก่อน จึงเป็นความผิดปกติและจะอ้างกฎหมายมาทำสิ่งที่ผิดให้เป็นถูกเสมือนเป็นการคุมขังติดคุกในเรือนจำคงไม่ได้
นอกจากนี้ การพักโทษยังมีปัญหาอีกว่า ผู้ต้องขังอายุมาก แล้วช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แต่ทักษิณได้พักโทษไม่กี่วันกลับเดินทางไปทั่วประเทศ อีกอย่างคนป่วยเมื่อได้พักโทษต้องนำตัวกลับมาปล่อยตัวที่ รพ.ราชทัณฑ์ แต่กับทักษิณ ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ออกจาก รพ.ตำรวจ ก็กลับไปบ้านตัวเองเลย
“ทุกกระบวนการป่วยของทักษิณ จึงผิดมาตั้งแต่ต้น แล้วยังมีรายงานทางการแพทย์ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง แปลว่าเป็นรายงานเท็จ ก็จบแล้ว และจะเอากฎหมายมาตราไหนมาดิ้นให้ผิดเป็นถูก ดังนั้น เมื่อรายงานทางการแพทย์เป็นเท็จแล้ว ที่เหลือก็คือ การทำเป็นขบวนการช่วยไม่ให้ติดคุกสักวัน จึงเข้าข่ายสมคบคิดการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ”
ส่วนศาลอาญาไม่ให้ทักษิณ ออกนอกประเทศนั้น นายจตุพร กล่าวว่า มีการโหมปั่นกระแสเสียดายโอกาสไปดักพบโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ในงานเลี้ยงรับรองที่ประเทศการตาร์ เพื่อเจรจาเรื่องกำแพงภาษีช่วยประเทศไทย
สิ่งสำคัญ พระราชวังกาตาร์จัดเลี้ยงขึ้นมาเป็นเกีรยติกับทรัมป์ ย่อมไม่ใช่เวทีทางการที่เจรจาเรื่องกำแพงภาษี ซึ่งเป็นบทบาทระหว่างรัฐกับรัฐ แล้วทักษิณ มีหน้าที่อะไรที่เจรจาในเรื่องนี้ ทั้งที่การไปกาตาร์เป็นการเชิญส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับหน้าที่หรือเป็นตัวแทนเจรจาในนามประเทศไทยได้
“ศาลมีความระมัดระวังนักโทษที่มีประวัติหนีคดีไปต่างประเทศนาน 17 ปี ถ้าอนุญาตให้ออกนอกประเทศแล้ว ถ้าหนีคดีเหมือนเดิมอีก ที่นี้งานเข้าศาลหรือไม่ ดังนั้น ศาลเคยอนุญาตให้ไปมาเลเซียกับบรูไนนั้น ก็ใช้ความกล้าอย่างถึงที่สุดแล้ว”
นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าทักษิณ จะหนีออกนอกประเทศโดยทางธรรมชาติ คงทำไม่ได้ง่ายๆ เพราะต้องถูกประกบและเครื่องบินส่วนตัวก็ไม่อาจขึ้นบินได้ ดังนั้น ขอให้รับชะตากรรมกลับเข้าคุก
“จึงหวังให้ทักษิณยืนอย่างทรนง แล้วเดินกลับไปติดคุกให้เป็นแบบอย่างสักครั้งหนึ่ง ทั้งที่นักการเมืองระดับรองนายกฯ รัฐมนตรี และนักเคลื่อนไหวการเมือง รวมทั้งประชาชนที่ติดคุกจำนวนมากที่เอาชีวิตไปแลกให้กับทักษิณ”
#เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS