“สันติ” สมาชิกพรรคสร้างอนาคตไทย ชี้! จากภาวะสงคราม ภาระค่าครองชีพของชาวบ้านเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง รัฐต้องช่วยประชาชนผ่อนหนักเป็นเบา เลิกทำงานแบบลิงแก้แห ที่ให้ความสำคัญกับความหลอกลวงของตัวเลข GDP
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า วันที่ 9 มี.ค.65 นายสันติ กีระนันทน์ อดีต ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ลาออก มาเป็นสมาชิกพรรคสร้างอนาคตไทย เปิดเผยถึงกรณีราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องว่า เช้าวันนี้ ตั้งแต่เวลาประมาณ 5:00 น. เป็นต้นมา ชาว กทม. ก็จะได้ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเติมรถในราคาใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1 บาท ทุกประเภท ในขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลยังถูกตรึงให้ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะตรึงไปได้อีกนานเท่าไร ยิ่งตรึงดีเซลไปนานเท่าไร ราคาเบนซินก็คงจะขึ้นไปอย่างไม่หยุดยั้ง เพียงแค่ 2 วัน ที่ผ่านมา ก็ราคาขึ้นไปแล้ว 1.60 บาท และใครที่เติม E20 อย่างผม ก็จะเห็นได้ว่าราคาขึ้นมากว่า 10 บาทแล้ว ในช่วงเวลาไม่กี่เดือนนี้ นอกจากนั้นแล้ว นับจากวันนี้ไปอีก 22 วันจนถึงวันที่ 1 เมษายน 2565 ราคาก๊าซหุงต้มบรรจุถังละ 15 กก. ก็จะขึ้นราคาจากถังละ 318 บาท เป็น 333 บาท
นี่เป็นเพียง 2 รายการที่แสดงให้เห็นชัดว่า ภาระค่าครองชีพของชาวบ้านเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง เพราะราคาพลังงานนั้นเป็นต้นทางของการผลิตสินค้าอุปโภคและบริโภคทุกชนิด และเป็นภาระที่หนักมากสำหรับคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ ในขณะที่ความสามารถในการหาเงินใส่กระเป๋าตัวเองนั้น มีความสุ่มเสี่ยงอยู่มากว่าจะยังคงอยู่ได้นานแค่ไหน
ปัญหาเหล่านี้ ไม่ได้ต้องการให้คนบริหารบ้านเมือง (ซึ่งตอนนี้ไม่แน่ใจว่ามีอยู่หรือไม่ เพราะผมเห็นแต่คนที่เล่นการเมือง ไม่เห็นคนทำงานการเมือง และยิ่งไม่เห็นคนบริหารบ้านเมือง) มาสั่งสอนให้ประชาชนต้องรู้จักประหยัด ให้ขึ้นรถประจำทางและจอดรถส่วนตัวไว้ที่บ้าน เพราะราคาพลังงานแพง หรือถ้าหมูแพงก็ให้กินไก่ หรือคำสั่งสอนอื่น ๆ อีกหลายอย่าง เพราะความคิดเหล่านั้น สามัญชนทั่วไปก็จะคิดถึงวิธีการจัดการกับชีวิตของตัวเองเพื่อให้อยู่รอดอยู่แล้ว แต่หน้าที่ของคนบริหารบ้านเมือง ต้องพยายามผ่อนหนักให้เป็นเบา ไม่ใช่ผลักภาระการดำรงชีวิตทั้งหมดให้ประชาชนต้องไปจัดการตัวเอง
ใคร ๆ ก็ทราบว่า ราคาพลังงานที่ทะยานขึ้นไปขนาดนี้ ไม่ใช่ความผิดของรัฐบาล แต่เป็นเพราะความตึงเครียดในภูมิรัฐศาสตร์ของโลก และคนจำนวนไม่น้อยกังวลต่อไปแล้วด้วยซ้ำครับว่า หากความตึงเครียดเหล่านั้นแปรสภาพเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 ไม่ว่าจะเป็นสงครามโลกรูปแบบใดก็ตาม เราจะเตรียมตัวรับมือกับวิกฤติของโลกเหล่านั้นอย่างไร
แต่แม้ว่ารัฐบาลจะไม่สามารถไปจัดการอะไรกับเหตุของปัญหาระดับโลกเหล่านั้นได้ แต่รัฐบาลก็ต้องมีมาตรการเพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบา หรืออย่างน้อยที่สุด ก็ต้องพยายามลดแรงกระแทกของปัญหาเหล่านั้นที่ถาโถมเข้าหาประชาชนโดยตรง โดยประชาชนตาดำ ๆ ก็สงสัยว่า เราจะมีรัฐบาลหรือมีรัฐมนตรีอยู่ทำไม ถ้าไม่ทำอะไรเลย ทำเพียงแต่สั่งสอนประชาชนให้ประหยัดเท่านั้น หรือบางทีก็ตอบคำถามเพียงแค่ว่า กำลังรอประชุมกับหน่วยงานนั้น หน่วยงานนี้อยู่
ในสัปดาห์ที่แล้วจนถึงเวลานี้ หากไม่มีข่าวเรื่องของดาราสาวที่เสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำนั้น ป่านนี้ เรื่องภาระค่าครองชีพที่ตึงตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ คงจะเป็นเรื่องที่ทำให้รัฐบาลต้องร้อนก้นอย่างแรง โดยเห็นได้จากอัตราเงินเฟ้อที่มีการรายงานเมื่อสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมาว่าเพิ่มขึ้นถึง 5.12% สูงสุดนับแต่ปี พ.ศ. 2551 ที่ผ่านมา ในขณะที่มีคนบางคนก็บอกว่า อัตราเงินเฟ้อดังกล่าวนั้น ไม่ได้อยู่ในระดับสูงมาก หากเปรียบเทียบกับประเทศอื่น และเป็นเรื่องธรรมดา หากคิดว่าก่อนหน้านี้ อัตราเงินเฟ้อของประเทศไทย (และของโลก) อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำมาก เพราะเป็นช่วงการชะลอตัวอันเนื่องมาจากโรคระบาด COVID-19 ซึ่งก็อาจจะมีส่วนถูก แต่ต้องไม่ลืมนะครับว่า โครงสร้างประชากรของประเทศไทยนั้น มีความแตกต่างอย่างรุนแรงในเรื่องความมั่งคั่ง มีความแตกต่างอย่างรุนแรงในเรื่องความสามารถในการหารายได้ หรือเรียกง่าย ๆ ว่า สังคมไทยมีความเหลื่อมล้ำอย่างรุนแรงนั่นเอง ซึ่งเพราะความเหลื่อมล้ำเชิงเศรษฐกิจดังกล่าวนั้นเองครับที่ทำให้การขยับตัวของอัตราเงินเฟ้อแม้เพียงไม่มาก แต่จะกระทบกับคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และสำหรับคนบางกลุ่มแล้ว อาจจะถึงขนาดที่สร้างปัญหาให้กับการดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยซ้ำไป
การดำเนินงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลเท่าที่ผมสังเกตมาโดยตลอดนั้น มักจะรายงานเพียงแค่การเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ ด้วยตัวเลข GDP growth เท่านั้น
ซึ่งผมกลับคิดว่า ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานที่ผ่านมาและยังไม่ผ่านไป (แต่เพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย) ตัวเลข GDP growth ไม่ได้สื่อความอะไรได้มากนัก แต่เพราะการทำงานแบบลิงแก้แห ที่ให้ความสำคัญกับความหลอกลวงของตัวเลข GDP growth เท่านั้น ทำให้ไปพยายามมุ่งเน้นกับมาตรการต่าง ๆ เพื่อทำให้ตัวเลขดังกล่าวนั้น ดูไม่น่าเกลียด (ไม่ใช่ดูดีนะครับ เพราะต่อให้ GDP growth ได้ถึง 3.4% ต่อปี อย่างที่คาดการณ์เมื่อปลายปี 2564 นั้น ก็ยังไม่ได้แสดงถึงศักยภาพของประเทศไทยได้ครับ เพราะศักยภาพอย่างประเทศไทย ควรจะทำให้ตัวเลขนั้นสูงกว่าที่คาดการณ์ได้เกือบ 2 เท่า หรือพูดอีกอย่างว่า เศรษฐกิจประเทศไทยไม่สามารถเติบโตได้เต็มศักยภาพ ภายใต้การบริหารงานแบบลิงแก้แหอย่างนี้) ทั้งที่มาตรการต่าง ๆ เหล่านั้น หากจะต้องการเยียวยา ก็ควรจะเยียวยาให้ถูกกลุ่มของคนเดือดร้อน หากจะกระตุ้นให้เกิดความเติบโต ก็ควรจะกระตุ้นให้ถูกวิธีและถูกกลุ่มของคนที่ต้องการโอกาสในการสร้างรายได้ (เพื่อให้เขาเป็นหัวขบวนในการไปสร้างงานต่อให้คนกลุ่มที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของเขา เช่น ทำให้ SME เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างแท้จริง เป็นต้น) แต่เพราะการทำงานอย่างลิงแก้แหของคนทำงานที่ไม่คิด ไม่วิเคราะห์ ไม่แยกแยะ จึงทำให้ประชาชนไม่เห็นมาตรการต่าง ๆ ที่เหมาะสมในการทำให้มั่นใจได้ว่า จะไม่พลัดตกน้ำจากรัฐนาวาที่กำลังฝ่าคลื่นลมอย่างรุนแรงนี้หรือเปล่า
เหนื่อยกับการเห็นแต่คนเล่นการเมือง ไม่เห็นคนทำงานการเมืองที่ใช้สติปัญญา และยิ่งไม่เห็นคนบริหารบ้านเมืองที่จะเป็นหลักประกันให้กับประชาชนในประเทศไทยครับ