Connect with us

Politics

ฉะลึก! ศศินันท์ ก้าวไกล อภิปราย ขัดแย้งในตร.ลึกล้ำกว่าเรื่องนายตำรวจใหญ่ 2 นายทะเลาะกัน !!

Published

on

ศศินันท์ อภิปราย ผลประโยชน์ ที่ฝังลึกในทุกอณูขององค์กรตำรวจ แล้วนายกฯ จะเริ่มปฏิรูปตำรวจ กี่โมง?

ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์  หรือ ทนายแจม สส.กรุงเทพ พรรคก้าวไกล ภรรยานายตำรวจผู้ถูกรังแกจากคำสั่งย้ายที่ไม่เป็นธรรมมากับตัวเอง วันนี้ได้มาอภิปรายตามมาตรา 152 ถึงวงการตำรวจ เพื่อชี้ให้เห็นว่าเอาเข้าจริงแล้วปัญหาในวงการตำรวจนี้ ลึกล้ำไปกว่าแค่เรื่องของสองนายตำรวจใหญ่ที่ทะเลาะกัน และการสั่งเด้งโดยนายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์อะไรต่อการแก้ปัญหานี้เลย

ทนายแจมเริ่มต้นด้วยการพาเรามองมองย้อนกลับไปในช่วงก่อนมีการแต่งตั้ง แคนดิเดตที่เข้าชิงตำแหน่งนี้ มีอยู่ 4 คน มีอยู่ 2 ใน 4 ที่มี “Fast Track” เบียดตีคู่กันมา แต่ปรากฎว่ามงมาลงที่แคนดิเดตที่มีความอาวุโสลำดับสุดท้าย และเป็นที่ทราบกันดีว่า พลตำรวจเอก ต. ใช้เวลาเพียง 7 ปี จากผู้กำกับการยศพันตำรวจเอก สามารถขึ้นมาเป็น ผบ.ตร. ได้ จากการยกเว้นหลักเกณฑ์ต่างๆ

สมรภูมิการแย่งชิงตำแหน่งผู้บัญชาการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นมาตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2566 เมื่อพลตำรวจเอก จ. อยู่ดีๆ ก็ถูกหมายค้นบ้าน ซึ่งถ้าไม่ไร้เดียงสาจนเกินไป ทุกคนจะรู้ว่านี่คือเกมการเมืองภายใน ตร. เพราะหลังจากนั้นเพียง 2 วัน ที่ประชุม ก.ตร. ก็ได้มีมติแต่งตั้ง พลตำรวจเอก ต. ขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนที่ 14

นอกจากนี้ ยังปรากฏข่าวตามหน้าสำนักข่าวทั่วไป ว่าระหว่างการประชุม ก.ตร. เพื่อแต่งตั้ง ผบ.ตร. นั้น มีสายโทรศัพท์สายหนึ่งโทรเข้ามายังที่ประชุม แจ้งกับผู้รับสายในที่ประชุมว่า “ทำให้จบวันนี้”  ทั้งๆที่ตอนแรกจะมีการเลื่อนออกไปก่อน

โดยที่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านอำนาจ ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็มีข่าวลืออย่างหนาหูว่าพลตำรวจเอก จ. ผู้อาวุโสลำดับที่ 2 คือคนที่จะถูกล็อกมงขึ้นนั่งเก้าอี้ ผบ.ตร คนต่อไป ด้วยผลงานทางคดีมากมาย ซึ่ง “Fast track” มาเหมือนกัน และยังมีความสนิทกับบ้านป่ารอยต่อ และบ้านจันทร์ส่องหล้า

ศึกครั้งนี้ได้นำไปสู่วิธีการสกปรกที่ฉาวโฉ่ออกมานอกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งการเตะตัดขากันก่อนถึงวันแต่งตั้ง ผบ.ตร. เพียงแค่ 2 วัน หรือคดีกำนันนกที่อาจสาวไปถึงหัวเรือใหญ่จนต้องมีการตัดตอน และสั่งโยกย้ายคดีจากมือหนึ่งไปสู่อีกมือหนึ่ง

ทนายแจมชี้ว่าวิธีการสกปรกเหล่านี้ไม่เพียงแต่ส่งกลิ่นคาวฉาวออกมาสู่สายตาประชาชนเท่านั้นแต่ “ช้างชนช้าง” มีหรือ ที่ตำรวจทั่วไปจะไม่เดือดร้อน เพราะหลังจากความผิดหวังที่หลุดเก้าอี้ผู้บังคับบัญชาการตำรวจแห่งชาติ หนำซ้ำยังถูกเตะตัดขาแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีจนเป็นข่าวใหญ่โต พลตำรวจเอก จ. ที่ได้ฉายา “แมวเก้าชีวิต” ก็ได้ใช้วิธีการทดสอบอำนาจของตัวเอง ใช้อำนาจเรียกตำรวจมารายงานตัวโดยไม่สนว่าตำรวจที่มานั้นจะประจำการอยู่ที่ไหน บ้านใกล้หรือบ้านไกล เข้าไปรายงานตัวที่สโมสรตำรวจ สถานที่ที่ได้ชื่อว่าเป็น “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สาขา 2”

ก็เพราะการแต่งตั้ง ผบ.ตร. ที่มีการลือกันว่า “ตั้งตามใบสั่ง” ของนายกเศรษฐา ทำให้เกิดความวุ่นวายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนเกิดสำนักงานตำรวจแห่งชาติสาขา 2 จนเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 ผบ.ตร. ตัวจริงต้องออกมาแก้เกมด้วยการออกหนังสือคำสั่งห้ามเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจมากำชับการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีความจำเป็น

แต่ก็ไม่อาจต้านทานได้ เพราะยังคงมีตำรวจจำนวนหนึ่งขับรถไปกลับเพื่อรายงานตัวต่อ พลตำรวจเอก จ. ซึ่งหลายคนทราบดีว่า นัดเช้ามาบ่าย นัดบ่ายมาดึก จนเกิดเหตุสลดขึ้น เมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2566 เมื่อผู้กำกับการ สภ. ท่านหนึ่งเสียชีวิตหมดสติระหว่างรอประชุมรายงานต่อ พลตำรวจเอก จ. ที่สโมสรตำรวจ สาเหตุตามข่าวคือพักผ่อนไม่เพียงพอ

เหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้ นายกรัฐมนตรีไม่สามารถปฏิเสธได้เลย ว่าการแต่งตั้ง ผบ.ตร. ของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ ได้นำไปสู่เหตุการณ์วุ่นวายวินาศสันตะโรภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ไม่ใช่แค่เพียงใน ตร. เท่านั้นที่มีการวิ่งเต้นตำแหน่ง เพราะหากยังจำกันได้ นายกรัฐมนตรีได้เคยหลุดปากออกมาในงานประชุม สส.พรรคเพื่อไทย ว่า “ผู้กำกับใหม่ ซึ่งผมมั่นใจว่าคงมีผู้ผิดหวัง มากกว่าผู้สมหวังในห้องนี้ ที่ขอตำแหน่งไป เพราะรู้สึกว่าเยอะเหลือเกิน แต่ก็มีไม่น้อยที่ได้สมหวัง”

ซึ่งเป็นเรื่องที่ประชาชนเข้าใจตรงกันไปเรียบร้อยแล้วว่าเกี่ยวกับ “ตั๋วตำรวจ” ที่หลุดออกจากปากนายกรัฐมนตรี ผู้ซึ่งควรจะมีความรับผิดมากกว่านี้ ทั้งที่เปลี่ยนรัฐบาลแล้ว สิ่งนี้ทำให้ประชาชนอดสงสัยไม่ได้ว่า “ตั๋วช้าง” กับ “ตั๋วนิด” หรือตั๋วเพื่อไทย ตั๋วใบไหนใหญ่กว่ากัน 

คำถามก็คือการแต่งตั้งผู้กำกับใหม่ที่นายกรัฐมนตรีพูดถึงในงานประชุม สส.พรรคเพื่อไทย ซึ่งระหว่างนั้นยังแต่งตั้งไม่เสร็จสิ้น ท่านรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นผู้สมหวัง ใครเป็นผู้ผิดหวัง? 

ความผิดปกติในการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ เป็นที่สังเกตได้จากไทม์ไลน์ดังนี้

– วันที่ 11 สิงหาคม 2566 อดีต ผบ.ตร. ได้ออกหนังสือให้จัดทำข้อมูลบัญชีผู้เหมาะสมระดับนายพล โดยมีอดีตนายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่งหัวโต๊ะเป็นประธาน ก.ตร.

– วันที่ 17 ตุลาคม 2566  พลตำรวจเอก ต. ซึ่งก็คือ ผบ.ตร. คนปัจจุบัน ได้ออกหนังสือให้จัดทำข้อมูลบัญชีผู้เหมาะสมในระดับนายพลอีกครั้ง ปรากฏว่าโผนายพลเปลี่ยน ทั้งที่เป็นข้อเท็จจริงเดิม นี่คือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

– วันที่ 9 พฤศจิกายน 2566 พลตำรวจเอก ต. ได้สั่งให้จัดทำบัญชีผู้เหมาะสมในระดับรองผู้บังคับการจนถึงสารวัตร ซึ่งการแต่งตั้งผู้กำกับจะอยู่ในขั้นตอนนี้ ทว่าในขั้นตอนปกติของการทำบัญชีผู้เหมาะสมสำหรับตำแหน่ง จะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน นับจากวันทำบัญชี คือวันที่ 9 พฤศจิกายน 2566 และคำสั่งแต่งตั้งก็จะมีผลในวันที่ 1 ธันวาคม

– แต่ว่าเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 ที่นายกรัฐมนตรีได้พูดถึงคนที่ผิดหวังและคนที่สมหวังในการขอตำแหน่งผู้กำกับ คำถามคือท่านทราบก่อนที่จะมีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ธันวาคม ได้อย่างไร?

ทั้งหมดนี้คือเครื่องสะท้อนการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจที่ใช้เส้นสายทางการเมืองไต่ขึ้นมา เพื่อเปิดทางผลประโยชน์บางอย่าง ตอกย้ำความตั๋ว ทั้งตั๋วเพื่อไทยในการแต่งตั้ง ผบ.ตร. และตั๋วนิดในการแต่งตั้งผู้กำกับ

แต่การขึ้นตำแหน่งของวงการตำรวจนั้นไม่ได้ใช้เส้นสายผ่านตั๋วทางเดียว แต่ทางผ่านอีกทางที่มีอำนาจไม่แพ้กันคือการใช้ “เงิน” ซื้อตำแหน่ง ซึ่งตำรวจท้องที่ทุกคนทราบกันดี ซึ่งศศินันท์ได้ฉายภาพให้เห็นว่าปัจจุบันมีอัตราอยู่ที่ รองผู้กำกับขึ้นเป็นผู้กำกับ 10 ล้าน ถ้าเป็นผู้กำกับอยู่แล้ว สไลด์ตำแหน่งดีกว่าเดิม 5 ล้าน สารวัตรขึ้นเป็นรองผู้กำกับ 1.5 ล้าน แต่ถ้าสารวัตรมาจากพื้นที่ดี ลดให้เหลือ 1 ล้าน เพราะตำแหน่งสารวัตรที่ดีสามารถเอาไปขายต่อได้อีก

อย่างที่ทุกคนทราบดีว่ายุทธจักรสีกากีที่มีเม็ดเงินไหลเวียนอยู่อย่างมหาศาล จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมศึกแย่งชิงตำแหน่งซึ่งจะนำมาทั้งเงินทองและอำนาจถึงมีการห้ำหั่นกันขนาดนี้ และยังยอมที่จะซื้อขายกันในราคาที่แพง นั่นก็เพราะเงินที่จ่ายไปกับค่าตำแหน่งเหล่านี้จะถูกตอบแทนคืนผ่านเงินนอกบัญชี หรือ “ส่วย” ในท้องที่นั้นๆ

และยิ่งไม่น่าแปลกใจเลย เมื่อมีการแฉกันไปมาระหว่างนายตำรวจระดับสูงที่สุดในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในเรื่องของเส้นเงินจากเว็บพนัน ที่แม้จะตามมาด้วยการเด้งคู่ แต่เรื่องราวก็ดูเหมือนจะไม่จบง่ายๆ เพราะพยานหลักฐานต่างๆ นั้นได้ชี้ให้เห็นถึงเม็ดเงินมหาศาลในวงการสีกากี

“นี่เป็นเรื่องใหญ่ นี่ไม่ใช่อาชญากรรมทั่วไป แต่เป็นอาชญากรรมที่ผู้ต้องหาเป็นตำรวจระดับสูงทั้งคู่
แล้วประชาชนจะเชื่อมั่นในรัฐบาลได้อย่างไร หากสำนักงานตำรวจแห่งชาติยังคงสั่นคลอน”

ทนายแจมย้ำต่อไป ว่าอย่าปล่อยให้ประชาชนสงสัยว่าเบื้องหลังสงครามภายในครั้งนี้มีใครที่หวังประโยชน์ หรือได้ประโยชน์ในเรื่องนี้หรือไม่ คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในกรณีสองนายตำรวจนี้ เป็นชุดเดียวกันกับคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีค้นบ้าน ซึ่งนายกรัฐมนตรีเคยให้สัมภาษณ์ว่า เป็นคนนอก ไม่เกี่ยวกับ ตร. แต่เมื่อไปดูรายชื่อ พบว่า 2 ใน 3 เป็น ก.ตร.

เพราะฉะนั้นการใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีเด้งสองนายตำรวจใหญ่ไม่ได้ทำให้เกิดการปฏิรูปวงการตำรวจ หรือแก้ปัญหาภายในเลยแม้แต่นิดเดียว

นายตำรวจคนหนึ่งเป็นถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพิ่งถูกกล่าวหาว่า “รับส่วย” ส่วนนายตำรวจอีกคนหนึ่งที่เป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็ถูกกล่าวหาว่า “เกี่ยวข้องเว็บพนัน” ใครจะถูกหรือผิดเรายังไม่อาจรู้ได้  แต่ที่รู้แน่ๆ แล้วคือผู้ถูกกล่าวหามีสถานะเป็นนายตำรวจใหญ่ที่มีอำนาจล้นมือใน ตร. ทั้งคู่

ทนายแจมยังได้ตั้งประเด็นทิ้งท้าย ว่าสัญญาณต่างๆเหล่านี้ ล้วนเป็นการแสดงออกถึงความสัมพันธ์เชิงอำนาจ และชี้ชัดมากว่าในรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน อาจจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากรัฐบาลที่แล้วเลย

#เพื่อไม่ให้พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS

Continue Reading
Advertisement ad-02-doosoft.jpg
Advertisement QK6ZtN.png

Copyright © 2022 TOJO.NEWS

%d bloggers like this: