Connect with us

Politics

นายกฯ มีสามีคนใต้ จึงไม่ได้ละเลยคนใต้ !! เจอวิจารณ์กันยับสนั่นสังคมโชเชียล !!

Published

on

จตุพร ถาม โยงกันได้ด้วยเหรอโชว์ตรรกะน้ำท่วมใต้ อวดวาทศิลป์ได้สามีคนใต้จึงไม่ได้ละเลยคนใต้ เจอวิจารณ์ยับ

ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ว่า นายกฯ อุ๊งอิ๊ง–แพทองธาร ชินวัตร ตอบคำถามละเลยคนภาคใต้ถูกน้ำท่วม โดยโยงถึงมีสามีเป็นคนใต้ จึงไม่ได้ละเลยคนใต้ ซึ่งเป็นคนละประเด็น และเป็นตรรกะที่ถูกวิจารณ์กันยับสนั่นสังคมโชเชียล

“นายกฯ ตอบคำถามนักข่าวอะไรก็ไม่รู้ น้ำท่วมเกิดวิกฤตอยู่แล้ว ยิ่งไปซ้ำเติมให้วิกฤตหนักไปอีก คำตอบแบบนี้ถ้าคนไม่มีความทุกข์ก็พอใช้พูดในรายการทอล์คโชว์ได้ แต่น้ำท่วมเป็นอารมณ์ความรู้สึกระคนทุกข์ยากของประชาชน อย่างไรก็ตาม นายกฯ ผิดพลาดในเรื่องนี้มาตั้งแต่ชักช้าน้ำท่วมเชียงราย แล้วมาซ้ำเติมอารมณ์กับ 8 จังหวัดภาคใต้ที่ท่วมหนักถึง 3 จังหวัด ซึ่งไปตอบอย่างนั้นได้เหรอ”

นายจตุพร กล่าวว่า การจะมาเป็นนายกฯ เป็นนักการเมืองหมายเลขหนึ่ง ดังนั้นวิสัยทัศน์หรือวิชั่นต้องรู้ได้ว่า เกิดอะไร ต้องไปที่ไหน และทำอะไรก่อนและหลัง ไม่ใช่น้ำท่วมเหนือยังอภิปรายอยู่ในสภาที่กรุงเทพ พอน้ำท่วมใต้ก็อยู่เหนือ แล้วตอบโต้เสียงครหาว่า ถ้าละเลยคนใต้ก็ไม่แต่งงานกับคนใต้

“อธิบายแบบนี้ได้ด้วยหรือ เมื่อเป็นแบบนี้ทีมที่ปรึกษาก็ช่วยกันคิดกันต่อไปเถอะ ถือเป็นวาทะศิลป์ คำคม คนฟังคงตื้นตันใจกันถ้วนหน้า แต่ต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นเอกฉันท์กันด้วยซ้ำ”

อีกทั้งกล่าวถึงกรณีเรือประมงไทย 3 ลำถูกทหารพม่ายิงเสียชีวิต 2 คน สูญหาย 2 คน ถูกจับตัว 31 คน และเรือถูกยึด ว่า บทเรียนสมัยทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็น ผบ.ทบ.และ ผบ.ทสส. เกิดเหตุการณ์แก๊งค้ายาเสพติดพม่ารบกับกองทัพไทยทางชายแดนด้านเหนือ มีการสูญเสียชีวิตหลายร้อยศพ เมื่อผู้นำพม่ามาเยือนไทย นายกฯ ไทยขณะนั้น สั่งย้าย พล.อ.สุรยุทธ์ พ้น ผบ.ทบ. ให้เหลือเพียง ผบ.ทสส. ตำแหน่งเดียว ถือเป็นการตบโชว์แสดงอำนาจนายกฯ ให้เห็น ซึ่งพม่าคงดีใจ แต่เป็นบาดแผลใจของทารไทยที่ไปสู้รบกำจัดแหล่งยาเสพติดต้องถูกปลดพ้นตำแหน่ง

มาถึงสถานการณ์วันนี้ เกิดเหตุว้าแดงซ้อมรบรุกพื้นดินไทย และถัดมาทหารพม่ายิงเรือประมงไทยจนมีผู้เสียชีวิต ดังนั้นนายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกฯและรมว.กลาโหม ต้องรู้ถึงสิ่งผิดปกตินี้ แม้ไทยไม่หวังจะไม่ต้องการสู้รบกับประเทศใด แต่การปกป้องแผ่นดินต้องมีเกียรติศักดิ์ศรีด้วย

นายจตุพร กล่าวถึงการแบ่งผลประโยชน์พลังงานระหว่างไทยกับกัมพูชาว่า รัฐบาลไทยต้องคุยกับกัมพูชาให้ชะลอการเจรจาแบ่งประโยชน์ในพื้นที่แต่ละฝ่ายอ้างสิทธิ์กันก่อน เพื่อความสบายใจของคนในชาติทั้งสองประเทศ แล้วมาเจรจาปักปันเขตแดนทั้งบกและทะเลกันใหม่ และรายงานผลให้คนในชาติทราบเป็นระยะ จนทั้งสองประเทศเกิดความพึงพอใจ ถ้ายังไม่พึงพอใจการเจรจาผลประโยชน์อื่นใดก็ไม่เกิดขึ้น

พร้อมทั้งกล่าวว่า ในช่วงเจรจาปักปันเขตแดนนั้น รัฐบาลไทยควรนำสัญญากับบริษัทเชฟรอนมาตรวจสอบกันใหม่ รวมทั้งสำรวจปริมาณน้ำมันที่จะขุดขึ้นมาให้แน่ชัด เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศ โดยไม่ใช้ตัวเลขการประเมินหรือคาดกันเอาเอง เพราะไทยไม่สามารถรู้ได้ว่า น้ำมันถูกสูบไปจำนวนเท่าใด

“ผู้นำประเทศนี้พอได้จังหวะก็ขายเอาผลประโยชน์ แล้วพูดว่ารักชาติบ้านเมือง และยิ่งไม่สมเหตุสมผลอยู่แเล้ว เมื่อทักษิณเอาสิทธิ์อะไรมาพูดแบ่งกัน 50:50 หรือนายกฯ บอกว่า ตกลงกันไม่ได้ก็แบ่งปันผลประโยชน์กัน แล้วดินแดนจะว่าอย่างไง คุณเป็นเจ้าของราชอาณาจักรไทยเพียงผู้เดียวเหรอ ดังนั้นให้มองหน้าคนไทยกันบ้าง อย่าพูดแต่ให้คนไทยดูหน้าดิฉันอย่างเดียว”

นายจตุพรกล่าวว่า ถ้ารักชาติกันจริงแล้ว การเจรจากับกัมพูชามีทางออกง่ายๆ โดยเสนอการปักปันเขตแดนให้พึงพอใจของสองประเทศ แล้วจึงมาแบ่งปันผลประโยชน์ในพื้นที่อ้างสิทธิกันที่หลัง ไม่ใช่เอาแต่กล่าวหาผู้มีความเห็นต่างว่า ปลุกม็อบล้มรัฐบาล ทั้งๆ ที่ความเห็นต่างเป็นเสียงเตือนรัฐบาลไทยให้คำนึงถึงเขตแดนประเทศก่อนการคิดจะแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเดียว

“เสียงเตือนของประชาชนกลับถูกประจานเป็นการปลุกม็อบ แล้วข่มขู่ทหารจะออกมา ถ้าไม่อยากให้ทหารออกมา พวกคุณๆ ไม่คิดจะหยุดบ้างเหรอ หรือทำให้ถูกต้องเสียบ้าง ซึ่งอะไรที่สุ่มเสี่ยงกับเสียดินแดนต้องไม่ทำ” 

อีกทั้งกล่าวว่า รัฐบาลเพื่อไทยไม่ควรทำในสิ่งที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนเชิงนโยบาย ดังนั้น การคัดค้านแบ่งผลประโยชน์ 50:50 จึงไม่ใช่เสียงคนคลั่งชาติ และการชุมนุมบนถนนย่อมไม่ใช่เรื่องของบุคคล แต่เป็นประเด็นในแต่ละเรื่องที่รัฐบาลสร้างเงื่อนไขขึ้นมาเอง จนถึงที่สุดรัฐบาลจะรับผิดชอบไม่ได้ด้วย

นายจตุพร กล่าวว่า อำนาจผลประโยชน์เป็นความน่ากลัวที่สุด แต่เราคัดค้านเพราะเป็นเรื่องของชาติบ้านเมือง ดังนั้น การไต่สวนชั้น 14 ของ ปปช. ถ้าไม่เห็นการกระทำออกมาแล้ว คงเชื่อถือไม่ได้เพราะตนโดนการหลอกซ้อนหลอกมาบ่อยครั้งแล้ว

“ขบวนการที่เข้าไปแทรกแซงใน ปปช.และ กกต.นั้น ก็เห็นตัวตนกันอยู่ ผมหวังว่า ทั้งสององค์กรจะลุกขึ้นสู้ หรือปฏิญาณตนว่าจะไม่ให้ใครแทรกแซง เราจึงจะเชื่อ ส่วนประชาชนต้องตื่นตัวตลอดเวลา เพราะการเปลี่ยนผิดเป็นถูก เปลี่ยนดำเป็นขาว ไม่มีใครจะทัดทานได้ ต้องเป็นประชาชนเท่านั้น”

อีกทั้งกล่าวว่า เมื่อองค์กรใดหลงใหลไปกับผลประโยชน์ทับซ้อน ขณะที่ประชาชนก็ถูกสร้างความเชื่อมาปลูกฝังว่า โกงไม่เป็นไรถ้าได้ประโยชน์ จึงเป็นความห่วยแตกทั้งผู้ปกครองและประชาชน ดังนั้น เราต้องสร้างความเชื่อใหม่ว่า รัฐบาลต้องไม่มาโกง แต่อาสามาทำให้ประชาชน และเราต้องไม่มีหนี้บุญคุณต่อกันด้วย

#เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS

Continue Reading
Advertisement ad-02-doosoft.jpg
Advertisement QK6ZtN.png

Copyright © 2022 TOJO.NEWS

%d bloggers like this: