พระบาทสมเด็จพระบรมราชพงษเชษฐมเหศวรสุนทร พระพุทธเลิศหล้านภาลัย
(๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๓๑๑ – ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๖๗)
ครองราชย์ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๓๕๒ – ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๖๗)
ขณะมีพระชนมพรรษาได้ ๔๒ พรรษา
เป็นพระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ ๒ แห่งราชวงศ์จักรี
มีพระนามเดิมว่า ฉิม พระราชสมภพเมื่อวันพุธ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๔ ปีกุน เวลาเช้า ๕ ยาม
ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๓๑๐ (นับแบบปัจจุบัน พ.ศ. ๒๓๑๑)
เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๔ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
(ขณะทรงมีบรรดาศักดิ์เป็นหลวงยกรบัตรเมืองราชบุรี)ประสูติแต่ท่านผู้หญิงนาค
(ภายหลังเฉลิมพระนามเป็นสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี)
เมื่อเจริญพระชนม์ได้ทรงศึกษาในสำนักพระพนรัตน์ (ทองอยู่) วัดบางว้าใหญ่
และได้ติดตามสมเด็จพระบรมชนกนาถ ไปในการสงครามทุกครั้ง
พระราชลัญจกรประจำพระองค์ ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ภาพจาก พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย – วิกิพีเดีย (wikipedia.org)
ในปี พ.ศ. ๒๓๔๙ เมื่อสมเด็จพระบรมชนกนาถปราบดาภิเษกแล้ว
จึงได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร
ถึงวันอาทิตย์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๔ ปีขาล พ.ศ. ๒๔๔๙
(นับแบบปัจจุบันเป็นวันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๓๕๐)
จึงได้รับอุปราชาภิเษกเป็น กรมพระราชวังบวรสถานมงคล
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชประชวรพระโสภะอยู่ ๓ ปีก็เสด็จสวรรคต
ในวันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๓๕๒ ขณะมีพระชนมพรรษาได้ ๗๓ พรรษา นับเวลาในการเสด็จครองราชย์
ได้นานถึง ๒๗ ปี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชกรมพระราชวังบวรสถานมงคล
จึงได้สำเร็จราชการแผ่นดินต่อมา เมื่อจัดการพระบรมศพเสร็จแล้ว
พระบรมวงศานุวงศ์ขุนนางและพระราชาคณะจึงกราบบังคมทูลเชิญเสด็จขึ้น ผ่านพิภพ
หมู่พระมหามณเฑียร ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นใน พระที่นั่งในหมู่พระมหามณเฑียรนี้ สร้างเรียงกันเป็น ๓ องค์
หันหน้าไปทางทิศเหนือ ได้แก่ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน พระที่นั่งไพศาลทักษิณ
และพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยมไหสูรยพิมาน
(ภาพจากหนังสือหมู่พระมหามณเฑียร สำนักพระราชวังพิมพ์เผยแพร่ พ.ศ. ๒๕๕๔)
การพระราชพิธีบรมราชาภิเษกจัดขึ้นในวันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๓๕๒
โดยย้ายมาทำพิธีที่หมู่พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน เนื่องจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
ซึ่งสร้างขึ้นแทนพระที่นั่งอมรินทราภิเษกมหาปราสาท อันเป็นสถานที่ทำพิธีปราบดาภิเษก
ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชนั้น
ใช้เป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชอยู่
ในรัชกาลต่อ ๆ มาจึงใช้หมู่พระที่นั่งจักรพรรดิพิมานเป็นสถานที่จัดการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
และใช้พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทเป็นสถานที่ตั้งพระบรมศพ
หลังจากเสร็จพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระองค์จึงเสด็จ เลียบพระนคร
โดยกระบวนพยุหยาตราตามโบราณราชประเพณี
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระปรีชาสามารถในศิลปกรรมด้านต่างๆ หลายสาขา
ในรัชสมัยของพระองค์ได้รับการยกย่องว่า เป็นยุคทองของวรรณคดีสมัยหนึ่ง
ด้านกาพย์กลอนเจริญสูงสุด จนมีคำกล่าวว่า “ในรัชกาลที่ 2 นั้น ใครเป็นกวีก็เป็นคนโปรด”
กวีที่มีชื่อเสียงนอกจากพระองค์เองแล้ว ยังมีกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (รัชกาลที่ 3)
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส สุนทรภู่ พระยาตรัง
และนายนรินทรธิเบศร์ (อิน) เป็นต้น
พระองค์มีพระราชนิพนธ์ที่เป็นบทกลอนมากมาย ทรงเป็นยอดกวีด้านการแต่งบทละคร
ทั้งละครในและละครนอก มีหลายเรื่องที่มีอยู่เดิม และทรงนำมาแต่งใหม่เพื่อให้ใช้ในการแสดงได้
เช่น รามเกียรติ์ อุณรุท และอิเหนา โดยเรื่องอิเหนานี้ เรื่องเดิมมีความยาวมาก
ได้ทรงพระราชนิพนธ์ใหม่ตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นเรื่องยาวที่สุดของพระองค์
วรรณคดีสโมสรในรัชกาลที่ 6 ได้ยกย่องให้เป็นยอดบทละครรำที่แต่งดี ยอดเยี่ยมทั้งเนื้อความ
ทำนองกลอนและกระบวนการเล่นทั้งร้องและรำ
นอกจากนี้ยังมีละครนอกอื่น ๆ เช่น ไกรทอง สังข์ทอง ไชยเชษฐ์ หลวิชัยคาวี มณีพิชัย สังข์ศิลป์ชัย
ได้ทรงเลือกเอาของเก่ามาทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นใหม่บางตอน และยังทรงพระราชนิพนธ์บทพากย์โขน
อีกหลายชุด เช่น ชุดนางลอย ชุดนาคบาศ และชุดพรหมาสตร์
ซึ่งล้วนมีความไพเราะซาบซึ้งเป็นอมตะใช้แสดงมาจนทุกวันนี้
นอกจากนี้แล้ว งานประติมากรรมในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ก็ถือได้ว่าโดดเด่นนอกจากจะทรงส่งเสริมงานช่างด้านหล่อพระพุทธรูปแล้ว
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ยังได้ทรงพระราชอุตสาหะปั้นหุ่นพระพักตร์ของ
พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก พระประธานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร
อันเป็นพระพุทธรูปที่สำคัญยิ่งองค์หนึ่งของไทยด้วยพระองค์เอง
ซึ่งลักษณะและทรวดทรงของพระพุทธรูปองค์นี้
เป็นแบบอย่างที่ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นใหม่ ในรัชกาลที่ ๒ นี้เอง
พระพุทธธรรมมิศราชโลกธาตุดิลก เป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร
เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะรัตนโกสินทร์
เล่ากันว่าหุ่นพระพักตร์ปั้นโดยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ส่วนพระวรกายปั้นโดยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
และที่ฐานของพระพุทธธรรมมิศราชโลกธาตุดิลก
ยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยอีกด้วย
ภาพจาก พระพุทธธรรมมิศราชโลกธาตุดิลก – วิกิพีเดีย (wikipedia.org)
ส่วนด้านการช่างฝีมือและการแกะสลักลวดลาย ในรัชกาลของพระองค์
ได้มีความเจริญก้าวหน้าไปอย่างมาก ด้วยพระองค์เองก็ทรงเป็นช่างทั้งการปั้น
และการแกะสลักที่เชี่ยวชาญยิ่งพระองค์หนึ่ง ยากที่จะหาผู้ใดทัดเทียมได้
นอกจากฝีพระหัตถ์ในการปั้นพระพักตร์พระพุทธธรรมิศรราชโลกธาตุดิลกแล้ว
ยังทรงแกะสลักบานประตูพระวิหารพระศรีศากยมุนี วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร
คู่หน้าด้วยพระองค์ เองร่วมกับกรมหมื่นจิตรภักดี
และทรงแกะหน้าหุ่นหน้าพระใหญ่และพระน้อย ที่ทำจากไม้รักคู่หนึ่ง
ที่เรียกว่า พระยารักใหญ่ และพระยารักน้อย ด้วย
บานประตูพระวิหารพระศรีศากยมุนี ของจริงเป็นฝีพระหัตถ์ของรัชกาลที่ ๒
ครั้งหนึ่ง พระวิหารเคยเกิดไฟไหม้ ต้องถอดบานประตู ไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
ที่เห็นนี้เป็นของที่ทำขึ้นมาใหม่
ภาพจาก พระวิหาร วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร | ฐานข้อมูลแหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย (sac.or.th)
ศีรษะหุ่นหลวงตัวพระคู่นี้แกะสลักจากไม้รักเป็นงานฝีพระหัตถ์ในรัชกาลที่ ๒ เรียกกันว่า พระยารักใหญ่ พระยารักน้อย
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ นายช่างใหญ่แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตรัสชมว่า
“งามไม่มีหน้าพระอื่นเสมอสอง”
โดยศีรษะพระคู่ที่เป็นฝีพระหัตถ์จะสวมชฎา สำหรับศีรษะหุ่นหลวงตัวพระอีกคู่หนึ่งที่
แต่เดิมเก็บรักษาไว้ในลุ้งเดียวกันกับพระยารักใหญ่ พระยารักน้อย จะสวมมงกุฎ
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสิงหนาทราชดุรงค์ฤทธิ ทรงจัดการทำขึ้นใหม่ตามพระราชดำริ
ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่าพระราชาควรจะสวมมงกุฎไม่โปรดการสวมชฎา
ศีรษะหุ่นพระราม มีวรรณะหรือผิวกายสีเขียว ทรงชฎา และพระลักษณ์ พระอนุชาของพระราม
มีวรรณะหรือผิวกายสีทอง เป็นของหุ่นหลวงหรือหุ่นใหญ่
มักนิยมสร้างขนาดความสูงจากระดับศีรษะถึงปลายเท้าตั้งแต่ ๘๕ – ๑๑๐ เซนติเมตร
มีลำตัว แขน ขาและแต่งตัวเช่นเดียวกับละคร ภายในตัวหุ่นทำสายโยงติดกับอวัยวะของตัวหุ่น
และปล่อยเชือกลงมารวมกันที่แกนไม้ส่วนล่างเพื่อใช้ดึงบังคับให้เคลื่อนไหว
ภาพจาก กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร | Facebook
พระปรีชาสามารถด้านดนตรี พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมีพระปรีชาสามารถในด้านนี้
ไม่น้อยไปกว่าด้านละครและฟ้อนรำ เครื่องดนตรีที่ทรงถนัดและโปรดปรานคือ ซอสามสาย
ซึ่งซอคู่พระหัตถ์ที่สำคัญได้พระราชทานนามว่า “ซอสายฟ้าฟาด” และเพลงพระราชนิพนธ์ที่มีชื่อเสียง
เป็นที่รู้จักกันดีคือ “เพลงบุหลันลอยเลื่อน” หรือ “บุหลัน (เลื่อน) ลอยฟ้า” แต่ต่อมามักจะเรียกว่า
“เพลงทรงพระสุบิน” เพราะเพลงมีนี้มีกำเนิดมาจากพระสุบิน (ฝัน) ของพระองค์เอง
โดยเล่ากันว่าคืนหนึ่งหลังจากได้ทรงซอสามสายจนดึก ก็เสด็จเข้าที่บรรทมแล้วทรงพระสุบินว่า
ได้เสด็จไปยังดินแดนที่สวยงามดุจสวรรค์ ณ ที่นั่น มีพระจันทร์อันกระจ่างได้ลอยมาใกล้พระองค์
พร้อมกับมีเสียงทิพยดนตรีอันไพเราะยิ่ง ประทับแน่นในพระราชหฤทัย ครั้นทรงตื่นบรรทม
ก็ยังทรงจดจำเพลงนั้นได้ จึงได้เรียกพนักงานดนตรีมาต่อเพลงนั้นไว้
และทรงอนุญาตให้นำออกเผยแพร่ได้ เพลงนี้จึงเป็นที่แพร่หลายและรู้จักกันกว้างขวางมาจนทุกวันนี้
ซอสายฟ้าฟาด
ภาพจาก แหล่งการเรียนรู้ (chawalit270.blogspot.com)
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมีพระราชโอรสพระราชธิดารวมทั้งสิ้น ๗๓ พระองค์
โดยประสูติเมื่อครั้งยังดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ๔๗ พระองค์
ประสูติเมื่อดำรงพระอิสริยยศเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ๔ พระองค์
และประสูติภายหลังบรมราชาภิเษกแล้ว ๒๒ พระองค์
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระประชวรด้วยโรคพิษไข้
ทรงไม่รู้สึกพระองค์เป็นเวลา ๘ วัน พระอาการประชวรก็ได้ทรุดลงตามลำดับ
และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๖๗ สิริพระชนมพรรษาได้ ๕๖ พรรษา
ครองราชย์สมบัติได้เพียง ๑๕ ปี
ข้อมูลจาก
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย – วิกิพีเดีย (wikipedia.org)
You must be logged in to post a comment Login