ดร.อานนท์ ฟาดเท้ง มาสาระแนกับทรัพย์สินฯ ทำไม กลับไปจ้องของพ่อแม่ตัวเองดีกว่า
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒน บริหารศาสตร์ (NIDA) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
ไม่รู้จะมาสาระแนกับทรัพย์สินของพระองค์ท่านทำไม กลับไปจ้องทรัพย์สินของบิดามารดาของตนเองเถิดจะเกิดประโยชน์มากกว่า
โดยก่อนหน้านี้ นายณีณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
เมื่อทราบว่าวันนี้คณะรัฐมนตรีจะเสนอร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ผมก็ให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ
ที่ต้องให้ความใส่ใจนั้น เพราะร่างกฎหมายฉบับนี้ไปเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของแผ่นดินที่สำคัญอย่างยิ่ง นั่นคือทรัพย์สินของ “สถาบันพระมหากษัตริย์” ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งตั้งแต่เมื่อ 20 ปีที่แล้ว มีการประเมินกันว่าทรัพย์สินของแผ่นดินในส่วนนี้มีมูลค่ามากกว่า 1 ล้านล้านบาท
ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ที่บัญญัติขึ้นมาใหม่ในยุครัฐบาล คสช. เมื่อปี 2561 ซึ่งการออกกฎหมายในครั้งนั้นส่งผลให้การดูแลและบริหารพระราชทรัพย์เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ
ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเช่น ชื่อเรียก crown property หรือทรัพย์สินของสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่เคยเรียกกันว่า “ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” ในรัชสมัยก่อนหน้านี้ ได้เปลี่ยนเป็น “ทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์” ขณะที่ “ทรัพย์สินส่วนพระองค์” เปลี่ยนเป็น “ทรัพย์สินในพระองค์”
ในแง่ของการดูแลและการบริหารจัดการก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย กล่าวคือในรัชสมัยก่อนหน้านี้ การดูแลทรัพย์สินของสถาบันพระมหากษัตริย์หรือ crown property จะแตกต่างไปจากการดูแลทรัพย์สินส่วนพระองค์ การดูแลทรัพย์สินส่วนพระองค์จะเป็นไปตามพระราชอัธยาศัย ส่วนทรัพย์สินของสถาบันพระมหากษัตริย์จะดูแลโดยสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
แต่ผลของกฎหมายยุค คสช. เมื่อปี 2561 ทำให้เส้นแบ่งนี้ไม่ชัดเจน ทำให้เราไม่มี “สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” ซึ่งทำหน้าที่ดูแลทรัพย์สินที่เป็นของสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นการเฉพาะอีกแล้ว แต่ได้เปลี่ยนไปเป็น “สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์” โดยการดูแลและบริหารจัดการพระราชทรัพย์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์หรือทรัพย์สินส่วนที่เป็นของสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย พระองค์จะทรงมอบหมายให้สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ บุคคลใด หรือหน่วยงานใด เป็นผู้จัดการทรัพย์สินใด อย่างไรก็ได้
อย่างไรก็ตาม สำหรับพระราชทรัพย์ในส่วนที่เป็นของสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งไม่ใช่ส่วนพระองค์นั้น เราจะมีวิธีการดูแลและบริหารจัดการอย่างไร ให้ทรัพย์สินของแผ่นดินส่วนนี้มีความมั่นคงสถาพรที่สุด เพื่อธำรงไว้ซึ่งพระเกียรติยศและพระราชสถานะภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นั่นไม่ใช่ประเด็นที่พวกเราจะมาพิจารณากันในวันนี้ เพราะร่างกฎหมายที่รัฐบาลเสนอเข้ามาในวันนี้ไม่ได้มีเนื้อหาสาระไปกระทบหรือส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการจัดการดูแลพระราชทรัพย์แต่ประการใด เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญส่วนดังกล่าวได้กระทำไปแล้วในยุค คสช.
สาระสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้ เป็นเพียงการเปลี่ยนชื่อ “สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์” ตามกฎหมายปี 2561 เป็น “สำนักงานพระคลังข้างที่” แต่เพียงเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ พวกผมจึงไม่มีประเด็นอะไรที่จะคัดค้านร่างกฎหมายของรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้แทนราษฎรคนหนึ่ง ผมอยากเสนอให้กระบวนการพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นไปตามกระบวนการนิติบัญญัติปกติ ไม่อยากให้มีการเสนอให้พิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้แบบกระบวนการพิเศษ เช่น ให้พิจารณาวันเดียว 3 วาระรวดโดยใช้คณะกรรมาธิการเต็มสภาตามที่ ครม. เสนอ เพราะยิ่งเป็นร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสถาบันที่เป็นพระประมุขของชาติ สภาของเรายิ่งควรดำเนินการอย่างรอบคอบและถี่ถ้วน รวมถึงต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในหมู่ประชาชนโดยไม่จำเป็น
สุดท้ายขอยืนยันว่าผู้แทนราษฎรพรรคประชาชนจะทำหน้าที่พิทักษ์ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ Constitutional Monarchy ซึ่งก็คือระบอบประชาธิปไตยที่พระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ เราจะระวังไม่ให้กฎหมายใดถูกติฉินครหาได้ว่ามีใครพยายามทำให้หลุดพ้นไปจากหลักอันเป็นหัวใจของ Constitutional Monarchy นั่นคือการที่พระมหากษัตริย์ทรง “ปกเกล้าไม่ปกครอง” อันเป็นการรักษาพระราชสถานะของพระประมุขให้ปราศจากการเมืองอย่างแท้จริง
#เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS