พงศ์พรหม ลั่น หากเป็นนฤมล รมว.ศึกษา ที่ชี้เป็นชี้ตายอนาคตเยาวชนในประเทศได้ จะทำ 3 ข้อนี้ พัฒนาวงการศึกษา
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า นายพงศ์พรหม ยามะรัต อดีตรองโฆษกพรรคสร้างอนาคตไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่าหากผมเป็น อ.แหม่ม ที่เป็นถึง รมว.ศึกษา จากพรรคกล้าธรรม เป็น รมว.กระทรวงที่จะชี้เป็นชี้ตายอนาคตเด็กได้ทั้งประเทศ ผมจะทำอะไร?
1.การที่ผมรักสมเด็จย่า ในหลวง และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ผมจะประกาศปฏิรูปการศึกษาประเทศด้วยแรงกาย แรงใจ และทุกอย่างที่ผมมี การทำการศึกษาชาติให้ดี ให้เท่าเทียมกับประเทศที่เจริญแล้ว คือสิ่งที่ในหลวงรัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 9 พยายามทำมาตลอด
2.การที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์เป็น “แม่ของแผ่นดิน” คำนี้ไม่ได้มาเพราะการแต่งตั้งตัวเอง แต่ได้มาเพราะความเคารพ ความขอบคุณจากประชาชนทั่วประเทศ ผมจะ “สังคายนา” ผลงานดีๆมากมายที่ท่านทำไว้ตลอดอายุท่าน เช่นการขึ้นเขาสูง ยันพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ปลายด้ามขวานเคียงข้างในหลวง ร.9 เพื่อพัฒนาชาวบ้านให้มีกิน ให้อยู่เย็นเป็นสุขนั้น ทำอะไร ทำไปทำไม ก่อนที่ท่านจะทำ เคยเป็นยังไง และหลังจากที่ท่านทำแล้ว เกิดสิ่งดีๆมากมายอะไรขึ้น? แล้วผมจะเอามาทำให้เกิด “สารคดี” ระดับโลกที่เน้นเชิงวิชาการ ปรัชญา สังคม การเมืองโลก บริบทแห่งปัญหาก่อนหน้า และผลที่พลิกฟ้าพลิกดินได้
สารคดีนี้จะกลายเป็น “การเรียนรู้แห่งยุคสมัยเรา” ที่เด็กหลายล้านคนจะได้ประโยชน์
มิใช่เพื่อบังคับให้เขาไหว้ เขากราบ แต่ให้เขาเข้าใจ คิดเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นตรรกะ คิดรักแผ่นดินจากเหตุ และผลเป็น
3.ผมจะเน้นอีก 1 เรื่องเป็นสำคัญ คือ “ผ้าไทย”
ในยุคสมัยท่านนั้น คนมากมาย รวมถึงกลุ่มคนแก่ที่ “แซะท่าน” ในวันนี้ ไม่เคยเห็นประโยชน์จากสิ่งนี้เลย
ทั้งที่ผ้าไทยนั้น
3.1 คือการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น ทั้งชนิดผ้า ชนิดลาย การประยุกต์ และช่างฝีมือท้องถิ่นทั้งสิ้น
3.2 การเพิ่มมูลค่าให้สมบัติชาติ แทนที่ผ้าไทยจะ “สูญพันธุ์” ตามยุคสมัย จากนุ่งผ้าไทย ก็ไปใส่กางเกงแบบใหม่ แต่สมเด็จท่าน กลับทำให้ผ้าไทยสามารถมีมูลค่า ประยุกต์ใช้กับโลกยุคใหม่ได้ประสบความสำเร็จอย่างน่าเหลือเชื่อ
3.3 สมเด็จนำผ้าไทยออกสู่โลก ในวันที่โลกยังเข้าใจว่า “Thailand = Taiwan” หรือ คนไทยยังขี่ช้างอยู่ นั่นคือการโปรโมตประเทศด้วยสิ่งของที่งดงามยิ่ง ที่สามารถบอกเอกลักษณ์ และอัตตลักษณ์ชาติไทยได้อย่างสมบูรณ์ด้วยวัฒนธรรมที่มีความ ”สิวิไลซ์“
3.4 และในคำว่า “Soft Power” ในวันนี้ที่เห่อๆกัน กลับกลายเป็นว่า คนๆแรกที่เริ่มต้นจากศูนย์ จากความเหนื่อยยาก ลำบาก เขาได้ทำให้ดูจนสำเร็จแล้วยังไงหละครับ
รมว.ศึกษา ควรจับมือ รมว.วัฒนธรรม ในการ ”Decode” กระบวนการของสมเด็จพระพันปี ตั้งแต่ไม่มีอะไร ไปจนลงพื้นที่ จับมือชาวบ้าน ทำ document ค้นคว้า วิจัย บันทึก ในยุคที่ไม่มีคอมพิวเตอร์ จนถึงกระบวนการการวิจัยผ้า วิจัยลาย การเฟ้นหาช่างฝีมือ และพัฒนาต่อยอดให้ดีขึ้น สวยขึ้น และ timeless มากกว่าเดิม
สมเด็จพระพันปี ท่านคือคนที่สร้าง “กระบวนการ Soft Power ไทย” สำเร็จคนแรกในประเทศไทยยุคใหม่
ที่ท่านทำ ไม่ใช่อีเว้นต์ เหมือนที่นักการเมืองชอบเอาเงินไปเผาทีละ 5,000 ล้านบาท
แต่เป็นกระบวนการที่ควรนำมาทำ documentary เผยแพร่ให้ลูกหลานไทย คนไทย และชาวบ้านไทยได้เห็น ได้เข้าใจ
หากแค่ว่า
รมว.ศึกษาที่จะทำนี้
ต้องรักสถาบันจริง จึงจะเข้าใจสิ่งนี้
รักสมเด็จสมเด็จย่า ในหลวง ร.9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์จริง จึงอยากมุ่งมั่นใช้โอกาสนี้ สร้างพลังจากสิ่งที่พวกท่านทำเอาไว้ ให้ปรากฏสู่สังคมไทยยุคใหม่ และชาวโลก
หากรักด้วยใจ สิ่งที่ผมเขียน ก็จะเริ่มไม่ยาก
แต่หากรักด้วยสอพลอ ด้วยประจบ แต่ในใจคิดถึงแต่ตัวเอง
สิ่งที่ผมเขียนมา 3 ข้อ ก็ย่อมไม่มีวันเกิด
เต็มที่ก็จะมีคำสั่งบังคับคนโน้นคนนี้ อวดอุตริ เพื่อสอพลอสถาบันฯ ไปวันๆ
#เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS