Connect with us

News

นับถือหัวใจ ความพยายามตลอด 8 ปี! แพทย์หญิง จิตใจสุดแกร่ง พิชิตยอดเขาเวเวอเรสต์สำเร็จ

Published

on

แพทย์หญิง เล่าประสบการณ์เผชิญหน้ากับสถานการณ์สุดโหด ขณะพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ ชาวเน็ตแห่ชื่นชมความกล้าหาญ

ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า พญ.มัณฑนา ถวิลไพร โพสต์เล่าเรื่องราวพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ ผ่านเฟซบุ๊ก Montana Twinprai โดยระบุว่า

Everest 2023 – ขุนเขายะเยือก
ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้วสำหรับฤดูกาลปีนเขาเอเวอเรสต์ปีนี้นะคะ แต่นางมัณฑนาเพิ่งจะมีเวลามานั่งเขียนเรื่องราวให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน อย่างแรกเลยต้องบอกว่าสำเร็จแล้วนะ ความฝัน ความหวัง ความตั้งใจ ที่พยายามทำมาตลอด 8 ปี ดิฉันเดินทางไปจนสุดทางเชือกแล้วที่เอเวอเรสต์
(ยาวมากนะคะ สรุปอยู่ตอนท้าย)

<ภูเขาเอเวอเรสต์คือภูเขาที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลที่สุดในโลก คือ 8848.86 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล สูงประมาณระดับเครื่องบินพานิชบิน มีชื่อในภาษาถิ่นทิเบตคือโชโมลุงม่า ภาษาถิ่นเนปาล Sagarmāthā
<เมื่อ70 ปีที่แล้ว (29 พฤษภาคม 1953) ยอดเขาเอเวอเรสต์ถูกพิชิตโดยมนุษย์เป็นครั้งแรกโดย เซอร์ เอ็ดมันด์ ฮิลลารี่ ชาวนิวซีแลนด์ (Sir Edmund Percival Hillary) และ เทนซิง นอร์เกย์ ชาวเชอร์ปา (Tenzing Norgay)
<การปีนเขาเอเวอเรสต์นี้เป็นความพยายามครั้งที่สองของดิฉัน ครั้งแรกคือเมื่อปี 2022 ค่ะ เราขึ้นไปถึง 8217 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล และตัดสินใจกลับลงมารอที่ South Col เนื่องจากสภาพอากาศ (แต่เมื่อกลับลงมากลับเจอลมแรงระดับ Strong Gale, 47-54 mph) เป็นผลให้อาหาร high altitude เต๊นท์ของเรานึ่งหลังและอุปกรณ์ปีนปลิวไป ส่งผลให้การปีนต้องยุติลงในปีนั้น



<ในปี 2023 ดิฉันได้เปลี่ยน strategy ในการปีน จากการจ้างไกด์เชอร์ปาอิสระมาเป็นบริการของบริษัทใหญ่ เพื่อเพิ่มความปลอดภัย เช่นถ้าเราเกิดปัญหา จะมีเชอร์ปาในทีมมากขึ้น มีกระป๋องออกซิเจนสำรอง เป็นต้น
<ดิฉันเดินทางถึงกาฐมาณฑุวันที่ 2 เมษายน เมืองหลวงแห่งนี้มีความสูงประมาณ 1300-1400 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ระดับความสูงแค่นี้ก็เหนื่อยแล้วนะคะ เราพักที่กาฐมาณฑุสองคืน พอให้หายเหนื่อยจากการเดินทาง
<4 เมษายน พวกเราเดินทางจากกาฐมาณฑุไปนัมเชบาซ่า (3440 เมตร) โดยเฮลิคอปเตอร์ มีอาการปวดศีรษะเล็กน้อยและอ่อนเพลียจากความสูง หลังจากนั้นจึงเริ่มการเดินเท้าโดยแบ่งเป็นสองกลุ่ม เลี้ยวขวาไปทางดิงโบเช (ทางค่อนข้างราบ) ดิฉัน เจ๊ชาวจีน และน้องหลิวเลี้ยวซ้ายไปลุมเด (ทางชันและขึ้นลงมากกว่า) ไกด์ก็พูดจีน ดิฉันก็ต้องปรับตัวพูดจีนงูๆ ปลาๆ 🤣 กลายเป็นทัวร์จีน ที่เราเลือกเส้นทางด้านซ้ายเพราะต้องการปรับตัวกับความสูง (acclimatization)

<ทัวร์จีนของเราสนุกสนานมาก ทั้งได้ชิมเกี๊ยวน้ำแสนอร่อยแบบทิเบต ชมความงามข้ามช่องเขาเรนโจล่า (Renjo La Pass, 5360 m) และ ช่องเขาโชล่า (Chola pass 5420 m)


<แล้วเราก็ไปปีนยอดเขาโลบุเชตะวันออก (Lobuche East, 6119 m) เพื่อเป็นการปรับตัวเข้ากับความสูง ภูเขาโลบุเชปีนสนุกมาก เหตุผลหนึ่งคือปีนร้หิมะตกหนัก ทำให้ slab หินด้านล่างปีนได้ง่ายขึ้น โดยไม่รู้เลยว่าหิมะหนานุ่มปีนี้จะเป็นสัญญาณของหายนะที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การปีนเขาเอเวอเรสต์!
<เส้นทางปีนโลบุเชมีทั้งผนังหินแนวตั้ง ส่วนธารน้ำแข็ง (แนวตั้ง) ปีนสนุกมากๆ
<แล้วเราก็เดินทางสู่เอเวอเรสต์ เบสแคมป์ หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า EBC (Everest Base Camp) ซึ่งมีความสูงประมาณ 5364 เมตร ซึ่งแคมป์ของเราก็อยู่ห่างจากก้อนหินที่นิยมถ่ายรูปกันประมาณหนึ่งกิโลเมตรครึ่งตามทางราบ



<Base Camp เป็นเสมือนความศิวิไลซ์สุดท้ายก่อนขึ้นสู่ทางปีน มีเต๊นท์ครัว เต๊นท์ห้องอาหาร หรือแม้แต่คาเฟ่ มีเครื่องปั่นไฟและแผงโซลาร์เซลล์ การใช้ชีวิตที่นี่สะดวกทีเดียวค่ะ มีห้องสุขาและห้องอาบน้ำด้วย
<เอเวอเรสต์ เบสแคมป์ตั้งอยู่บนธารน้ำแข็งคุมบู ปัจจุบันมีความยาวประมาณ 2 กิโลเมตร
<ด้วยปีนี้มีเชอร์ปาเสียชีวิต 3 คน ตั้งแต่ต้นฤดูจากธารน้ำแข็งคุมบูถล่ม (12 เมษายน) ทำให้เชิร์ปาหลายคนถอนตัวจากการปีนในปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มาจากหมู่บ้านเดียวกันกับเชอร์ปาที่เสียชีวิต ทำให้หลายบริษัทเกิดวิกฤตขาดแคลนเชอร์ปา (ชาวเชอร์ปาที่มาช่วยลูกค้าปีนเรียกว่า Climbing Sherpa, เรียกสั้นๆ เชอร์ปา)

>มีสมาชิกนานาชาติมาสมทบมากขึ้นเรื่อยๆ มากกว่าครึ่งเป็นชาวจีน ทางบริษัททัวร์ก็ได้กางเต๊นท์ห้องอาหารไว้สองแห่ง เต๊นท์ใหญ่สำหรับชาวจีน เต๊นท์เล็กนานาชาติ เต๊นท์กลางเป็นคาเฟ่

>กว่าที่ดิฉันจะได้เริ่มโรเตชั่น (rotation) ก็ 25 เมษายน ค่ะ ซึ่งถือว่าช้าเมื่อเทียบกับปีอื่นๆ ทั้งความก้าวหน้าของการตรึงเชือก (fixed rope) ความเร็วลมสูง หิมะตกหนัก (ดิฉัน, ราฟ, แนนซี่, เจส ขึ้นลงพร้อมๆ กัน) ดิฉันอยู่แคมป์ 1 หนึ่งคืน แคมป์ 2 อีกสามคืน ระหว่างนี้ก็จะปีนไปปรับตัวที่หน้าโลตเซ่ (Lhotse Face, 6500 m) และกลับมาที่เบสแคมป์ 29 เมษายน

>หลังจากการโรเตชั่น นักปีนต่างชาติมักลงไปที่แอลติจูดต่ำเพื่อให้ร่างกายเกิดการฟื้นตัวจากภาวะขาดออกซิเจน เทรนด์ในปัจจุบันรวมถึงการนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปนัมเช บาซาร์ ลุคลา หรือแม้กระทั่งกาฐมาณฑุ ตัวดิฉันเองอยากจะอยู่ที่เบสแคมป์มากกว่า (ไม่อยากเสียเงินเพิ่ม เบสแคมป์ก็อยู่สบายดี) และอยากจะฝึกร่างกายต่อโดยการเดินเขาขึ้นพูโมรี ไฮ แคมป์ (Pumori High Camp ~5700 m) แต่แล้วก็ติดไข้หวัดที่ระบาดอยู่ในเบสแคมป์ (และแคมป์ 2) ในขณะนั้น มีไข้สูง อ่อนเพลีย จึงตัดสินใจเดินทางไปพักที่กาฐมาณฑุโดยเฮลิคอปเตอร์และเที่ยวบินพานิชจากลุคลา

>Isolate ตัวเองในโรงแรม Yambu Hotel โดยมีเจ้าของโรงแรม คุณ Raj Bhatta และป้าหนึ่ง Prince Rambowส่งข้าวส่งน้ำ มาเคาะดูเช็คว่ามัณฑนาไม่ออกจากห้อง..นี่มันตายหรือยัง?

>พอเริ่มฟื้นตัวก็ซ้อนมอเตอร์ไซค์ป้าหนึ่งตระเวนกินอาหารไทยซะให้หายอยาก ส้มตำ (กินทุกมื้อ) ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ ข้าผัด ผัดกระเพา ผัดไทย

>ไม่กล้าอยู่กาฐมาณฑุนานค่ะ กลัวจะเสียการปรับตัว (acclimatization) ก็รีบเดินทางกลับกับราฟ (นักปีนชื่อดังชาวเยอรมัน) ที่เป็นไข้หวัดเหมือนกันโดยเฮลิคอปเตอร์ โดยคราวนี้เราลงที่หมู่บ้านดิงโบเช (Dingboche, 4400 m) แล้วเดินขึ้นเบสแคมป์ภายใน 2 วัน

>ที่เบสแคมป์ทีมที่ขึ้นไปตรึงเชือกสำหรับการปีนเขายังไม่สามารถตรึงเชือกได้สำเร็จจากสภาพอากาศหนาวจัด ลมแรง หิมะตกทุกวัน แต่ก็มีนักปีนหลายท่านที่ขึ้นไปรอบนแคมป์สูงแล้ว เพื่อรอปีนหลังจากการตรึงเชือกสำเร็จ

>พวกที่แกร่วอยู่เบสแคมป์คือยังไม่ถึงคิวขึ้น มีเพื่อนนักปีนจากแคมป์อื่นก็มาเยี่ยม และเล่าสถานการณ์ขาดแคลนเชอร์ปาในทีมอื่นๆ ให้ฟัง

>ในทีมใหญ่ของเราสามารถนำลูกค้าขึ้นได้แค่ครั้งละ 6 คนเท่านั้น และไม่ได้ออกตัวกันทุกวัน จากลูกค้าประมาณ 40 คน ดิฉันก็เฝ้าแต่รอว่าเมื่อไหร่จะถึงคิว ระหว่างนี้จึงออกไปเดินเขาโดยมีจุดหมายคือพูโมรี ไฮ แคมป์ ซึ่งเป็นจุดที่มองเห็นยอดเขาเอเวอเรสต์ และขึ้นไปถึง 5 ครั้งในปีนี้…..ไม่ถึงคิวดิฉันเสียที

>ด้วยสภาพอากาศอันเลวร้าย ทำให้มีนักปีนถูกอันตรายจากความเย็นจัด (Frostbite) จำนวนมาก และมีนักปีนเสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง ทำเอาเพื่อนร่วมทีมบางคนถึงกับขวัญหนีดีฝ่อ รพ. ในเบสแคมป์เต็มไปด้วยคนป่วย มีการอพยพผู้บาดเจ็บทางอากาศจากทั้งแคมป์สูงและเบสแคมป์มากกว่าปีใดๆ (มากกว่า 200 เที่ยวบินเหนือเบาแคมป์)

>บ่ายวันหนึ่งเจ้าของบริษัททัวร์ก็มาบอกดิฉันว่า “พรุ่งนี้เธอขึ้นนะ เป็นทีมสุดท้ายของเราในปีนี้ ไปเก็บของซะ” ง่ายๆ แบบนั้นเลย โอเค…ฉันบ่ยั่นดอก โดยที่ไม่รู้ว่าจะปีนคู่กับเชอร์ปาคนไหน

>เช้ามืดของวันที่ 20 พฤษภาคม ลูกค้ากับเชอร์ปาจับคู่กัน ดิฉันกับอัง ริต้า ต่อไปนี้จะขอเรียกว่าพ่อครัว (นักปีนคนอื่นที่ออกพร้อมกันได้แก่ ราฟ, ราช, แมรี่เบธ, คนจีนอีก 2 คน)

>เมื่อดิฉันถึงแคมป์ 1 ปรากฏว่าถุงนอนกับแผ่นรองนอนของดิฉันหายไปจากเต๊นท์ (ฝากไว้ในเต๊นท์จะได้ไม่ต้องแบกลงให้หนัก) แคมป์ 1 (6000 m) บนเอเวอเรสต์คือความหนาวจัดบนหิมะ ท้องฟ้าเริ่มมืด ดิฉันนั่งอยู่บนพื้นเย็นเฉียบแล้วน้ำตามันก็ไหลออกมาเอง ไหนจะต้องรอแล้วรออีกแบบแทบไม่มีความหวัง พอขึ้นมาที่นอนก็หาย แล้วพ่อครัวยังเอาถุงใส่ครีมกันแดด ผ้าอนามัย ทิชชู่ แปรงสีฟันของดิฉันใส่เฮลิคอปเตอร์ขึ้นไปแคมป์ 2 อีก คืนนี้คือ….ไม่เหลืออะไรเลยตั๊วหนิฮึ!

>พ่อครัวก็เอาถุงมือที่ใส่ปีนมาซับน้ำตาดิฉัน “อย่าร้องให้เลยมัณฑนา” เฮ้ย…ฉันไม่ได้ถูกฝึกมาให้แกร่งเบอร์นี้ น้ำตาไหลบ่ายังกะเขื่อนแตก เป็นน้ำตาแบบธรรมชาติ พ่อครัวก็ไปค้นตามเต๊นท์รอบๆ ปรากฎว่าคนจีนคนหนึ่งเอาไป กว่าพ่อครัวจะต่อรองเอาคืนมาได้ก็นานโข อิหยังเดสก๊ะมาก!

>21 พฤษภาคม สมาชิกลูกทัวร์ (ยกเว้นราฟที่ล่วงหน้าไปแล้ว) รวมตัวกันไม่กินอาหารเช้า เพราะไม่มีอะไรให้กินแล้วออกเดินทางขึ้นสู่แคมป์ 2 ผ่านเวสเทิร์น คูม (Western Cwm) เจ้าของบริษัทก็วิทยุมา บอกใครใช้เวลาเกิน 4 ชั่วโมงไม่ถึงแคมป์ 2 จะไม่ให้ไปต่อ ดิฉันกับพ่อครัวก็จ้ำอ้าวกันหน้าตั้ง เหนื่อยๆ หยุดๆ แต่ไม่กล้าหยุดนานเพราะกลัวถูกคัทออฟ พ่อครัวก็ยังไม่เคยปีนเหนือแคมป์ 2 แต่ปีนี้บริษัทจะให้นางฝึกปีนปีนี้

>ถึงแคมป์ 2 (6300 m) พ่อครัวหอบแฮ่กๆ วางกระเป๋าแล้วเข้าครัวไปทำอาหารต่อเฉยเลย (ตอนนั้นแล่ะถึงรู้ว่านางเป็นพ่อครัว ไม่ใช่เชอร์ปานักปีน) (พ่อครัวแคมป์สูงบริษัทนี้ต้องปีนยอด) ดิฉันก็โล่งอกพ้นคัทออฟ ตามแผนเดิมเราจะพักที่นี่ 2 คืนเพื่อพักร่าง สักพักจข.บริษัทก็วิทยุมาบอกว่าพรุ่งนี้ขึ้นแคมป์ 3 ไปเลยนะ โอเค นัมบาร์วัน!

>เช้า 22 พฤษภาคม มีการจับคู่กับไกด์ตัวจริงที่จะพาขึ้นยอดและทดสอบอุปกรณ์ให้ออกซิเจน ไกด์ของดิฉันคือพินจู และจะมีเชอร์ปาช่วยอีกคนคือเชอร์บี้ (ชื่อสมมติ) พ่อครัวก็จะขึ้นกันเองกับพ่อครัวอีกคน เราเดินทางต่อบนธารน้ำแข็งส่วนค่อนข้างราบเรียกว่าเวสเทิร์นคุมจนมาถึงหน้าโลตเซ่ (6500 m) ซึ่งเป็นกำแพงน้ำแข็งซึ่งบางครั้งมีความชันถึง 80 องศา ปีนขึ้นมาที่แคมป์ 3 (7300 m) พินจูกับดิฉันขึ้นมาถึงเป็นคู่แรก เชอร์บี้ตามมาทีหลัง เราสามคนนอนในเต๊นท์ด้วยกันตั้งแต่หลังอาหารมื้อบ่ายเพื่อเก็บแรง โดยมีแผนการจะออกปีนตั้งแต่ 4.00 น. ในเช้าวันถัดไป

>23 พฤษภาคม ภายนอกยังมืดมิด ได้ยินเสียงฉับๆ ของแครมปอนของนักปีนท่านอื่นผ่านเต๊นท์เราไปตั้งแต่ช่วงตี 2 พินจูตื่นประมาณตี 4 ซึ่งช้ากว่าที่เราตกลงกันไว้ ทีมเราคนอื่นๆ ปีนผ่านเต๊นท์เราไปแล้ว พินจูพยายามจุดไฟทำอาหาร แต่ไม่สามารถทำได้ เชอร์บี้ก็อยู่ในอาการอ่อนเพลียและไม่ยอมออกมาจากถุงนอน สุดท้ายพินจูก็โยนทุกอย่างทิ้งแล้วเปิดออกซิเจนปริมาณสูงดมและทิ้งตัวลงนอน เขาป่วยนั่นเอง (ได้แต่คิดในใจ ชห แระ!)

>ประมาณ 8.35 น. จข. บริษัทก็มาที่เต๊นท์ หาเชอร์ปาใหม่มาให้ ไม่รู้ไปหามาจากไหน สมมติว่าชื่อลูกปลาแล้วกัน ไอ้เรานี่ก็แนะนำตัว “ชื่อมัณฑนานะ ฉันอาจจะต้องให้เธอช่วย place พวก climbing gear บางครั้ง” พูดไม่ทันจบประโยค ลูกปลาก็สวนแบบขึ้นเสียง “แค่ place gear ยังไม่ได้จะมาปีนเอเวอเรสต์ทำไม บลาๆๆ” ก็ปล่อยนางพูดไป ส่วนเชอร์บี้ก็ค่อยๆคลานออกมาจากถุงนอนแบบอ้อแอ้ๆ เราก็เริ่มปีนขึ้น และสิ่งที่เกิดขึ้นคือลูกปลานี่ก็ไม่ได้ช่วยดิฉันปีนหรอก เพราะนางช้ามาก อยู่ใต้เราประมาณ 3 เชือก (ประมาณ 100 เมตร) ส่วนเชอร์บี้ 1 อยู่ใต้ดิฉัน 1 เชือก

>เมื่อปีนผ่านแคมป์ 4 ของ Lhotse เส้นทางจากแนวดิ่งก็กลายเป็น traverse ไปทางซ้าย เบื้องหน้าดิฉันมีกลุ่มคน 7-8 คน กำลังลำเลียงอะไรบางอย่างลงมาตามระบบ fixed rope ส่งเสียงแกร๊งๆ เมื่อกระทบกับผาหิน เมื่อเข้าใกล้จึงเห็นว่าเป็นถุงนอนบรรจุร่างคน แขนสองข้างลู่ขึ้นตามหิมะ มือทั้งสองเปล่าเปลือยและเป็นสีม่วงเข้ม เขาไม่มีความเจ็บปวดอีกแล้วแม้ว่าจะถูกลากผ่านหินแหลมหรือหิมะ เสียงแกร๊งๆ คงเป็นเสียงถังออกซิเจน (จำนวนหลายใบ) ที่ห่อมาในถุงนอนนั่นเอง แม้จะคุ้นเคยกับศพและคนตายมามาก แต่ก็เป็นครั้งแรกที่ดิฉันเห็นศพนักปีนเขาที่เพิ่งเสียชีวิตไม่นานนัก ใจเสียมากๆ

>ขึ้นมาถึง South Col เป็นที่ตั้งของแคมป์ 4 (7900 m) ประมาณ 17.35 น เห็นยอดพีรามิดดำตั้งตระหง่านท้าลม หมู่เมฆปะทะกับหินผาแล้วม้วนตัวแตกออกน่าสะพรึงกลัว จุดแดงส้มเล็กๆ ด้านบนคือนักปีนที่กำลังกลับลงมาที่แคมป์ 4 ส่วนด้านหลังพบว่าคนที่ตามหลังเรามาติดๆ เป็นพวกที่ออกตั้งแต่ตี 4 ของบ. ที่เราใช้บริการ แปลว่าพวกเรานักปีนสมัครเล่นทั้งหมดจะไม่ปีนต่อไปซัมมิตในคืนนี้ เพราะเวลาพักน้อยไป จึงวางแผนจะขึ้นในค่ำวันต่อไป

>ไม่มีเต๊นท์ให้ดิฉันที่ South Col! ลูกปลาที่ตามมาทีหลังก็พยายามหาเต๊นท์ที่บริษัทกางไว้ แต่ปรากฏว่าเต๊นท์มีคนอยู่ทั้งหมด แกร๊!…ปล่อยฉันยืนตากลมตอนที่ดวงอาทิตย์ตกไปแล้วที่ Dead Zone เนี่ยนะ สุดท้ายหาเต๊นท์ไม่ได้ ต้องไปอัด 4 คนกับราชและเชอร์ปาของราช ส่วนเชอร์บี้ไม่รู้ไปสิงเต๊นท์ไหน

>ลูกปลาก็เริ่มหัวร้อนมีปากเสียงกับราช โดยลูกปลาตะโกนโวยวาย แต่ราชไม่ได้โต้ตอบโดยใช้อารมณ์หรือน้ำเสียงเลย

>24 พฤษภาคม ช่วงค่ำเราเริ่มปีนจากแคมป์ 4 ซึ่งเส้นทางแทบจะเป็นผาหิมะแนวตั้ง (ปีก่อนเป็นน้ำแข็ง) เลยระดับ 8200 เมตรที่เป็นจุดมืดบอดในใจของดิฉันมาแล้ว จนกระทั้งประมาณ 8300 เมตร ดิฉันขอถุงแปะร้อนจากลูกปลา (โดยปกติเชอร์ปาจะช่วยแบกน้ำหนักบางส่วน ได้แก่กระบอกเครื่องดื่ม และของจิปาถะ) ลูกปลากลับบอกว่า “ปีนไปเฉยๆ ไม่ต้องเรื่องมากไม่ได้หรือไง” ในอาการกระฟัดกระเฟียดมาก ดิฉันยืนยันว่าจะใช่ถุงร้อน เพราะที่เตรียมมาคือจะแปะหน้าอก แปะท้อง แปะหลัง และใส่ในถุงมือ ลูกปลาก็ขึ้นเสียงกระโชกโฮกฮาก บอกว่าถ้าอยากใช้มากนักก็กลับลงไปเอาเลย เพราะลูกปลาโยนทิ้งตั้งแต่ที่แคมป์ 4 แล้ว ดิฉันคำนวณเวลาและแรงแล้วเกรงว่าจะปีนไม่ทันระยะความปลอดภัย จึงพยายามปีนต่อโดยกระดิกนิ้วมือและนิ้วเท้าเพื่อสร้างความอบอุ่นที่ส่งนปลาย แต่ก็รู้สึกได้ว่าแม้แต่อุณหภูมิแกนกลางตกลงบ้างแล้ว

>อยู่ๆ ลูกปลาก็หายไป กลายเป็นเชอร์บี้ที่มาปีนหน้าดิฉัน แต่เชอร์บี้ก็ปีนได้ช้ามากและออกอาการเหนื่อยล้า (ไม่รู้ว่าเหนื่อยจริงหรือ…เปล่า) พี่ดาว่า เท็นจิน ที่เป็นหัวหน้าเชอร์ปาเป็นคนเปลี่ยนถังออกซิเจนให้ดิฉันและป้าคนจีนที่ใต้ต่อบัลโคนี่ (Balcony) แล้วเชอร์บี้ก็หายไปเลย

>หลังตากนั้นสักพักฉันเลยถามเชอร์ปาในทีมว่าลูกปลากับเชอร์บี้หายไปไหน เผื่อฉันต้องการความช่วยเหลือ ตอนนี้มีแต่เชอร์ปาของคนอื่น เขาบอกว่าลูกปลามันลงไปตั้งนานแล้ว เชอร์บี้ก็พึ่งลง สรุปฉันเหลือตัวคนเดียวมาสักพักแต่เพิ่งรู้ตัว (ยืนกำเชือกแบบช็อคๆ บนกำแพงหิมะ 8450 เมตร)

>มันอันตรายมากที่นักปีนสมัครเล่นจะปีนโดยไม่มีเชอร์ปาซัพพอร์ต ดิฉันเริ่มลังเล น้ำดื่มก็ฝากลูกปลาไว้ ตอนนี้เหลือเจลพลังงานแต่ 3 ซองในกระเป๋าเสื้อ กับขนมนิดหน่อย นักปีนบางคนในทีมถอนตัวลงไปแล้วเพราะลมจากเ้านซ้ายทั้งหนาวรุนแรงและพัดเอาผลึกหิมะมากระแทกเกือบจะตลอดเวลา ลูกค้าคนจีนของพี่ดาว่าก็ช้าลงมากขนเริ่มทิ้งระยะห่าง แต่แล้ว…พ่อครัวก็โผล่มาจากด้านล่าง นางบอกว่าเด๋วนางปีนเป็นเพื่อนนางมัณฑนาเอง

>สองนางที่ไม่เคยปีนเอเวอเรสต์เลนตกลงจะไปด้วยกัน โดยมีพ่อครัวนำหน้าแบบงงๆ หมายถึงนางก็งงทาง แต่เราก็เลือกที่จะเชื่อ fixed rope อย่างเต็มใจเพราะไม่มีทางเลือกอื่น

>เวลาเชื่องช้าเสมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ แต่เมื่อขอบฟ้าด้านขวากลายเป็นสีเขียว ดิฉันก็เริ่มมีกำลังใจ อีกไม่นานก็จะเช้า อากาศคงอุ่นขึ้นบ้าง ดิฉันกับพ่อครัวหยุดยืนพักดื่มชาดำ (ของพ่อครัว) กันที่ใต้ต่อ South Summit (8690 m) และชื่นชมขอบฟ้าด้านล่าง เมฆสีเขียวมองดีๆ แล้วส่องประกายเป็นอีกหลายสี ทั้งสีส้ม ม่วง น้ำเงิน แดง และนั่นคือการดื่มน้ำครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของดิฉันเหนือ South Col

>เมื่อเรามายืนอยู่ต่อหน้าบันใดหินฮิลารี่ (Hillary Step) ดวงอาทิตย์ลอยเหนือหมู่เมฆทางด้านขวาแล้ว ดิฉันจำมันได้จากลักษณะที่เป็นสามเหลี่ยม แต่มันไม่เหมือนในภาพถ่ายชื่อดังของ Nims Dai ที่มีนักปีนต่อคิวกัน มันว่างเปล่า

>”ดูนั่นสิมัณฑนา ตรงนั้นมีคนตาย ฉันไม่กล้าไปต่อแล้ว เราลงกันเถอะ” พ่อครัวชี้ไปที่ซอกของฮิลลารี่ สเต็ป แม้ตาของดิฉันจะเห็นไม่ชัดนักแต่ดูออกว่ามีคนในชุดดาวน์สูทสีส้มเหลืองนั่งกอดเข่าอยู่ตรงนั้นแน่ๆ แม้ฉันจะโน้มน้าวพ่อครัวอย่างไรนางก็ไม่ยอมไปต่อ ทั้งๆที่เราจะถึงยอดซัมมิตอยู่แล้ว ภายในไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง

>หลังจากต่อล้อต่อเถียงกับพ่อครัวอยู่นานสองนาน ดิฉันก็จำใจปีนกลับลงมากับพ่อครัว ลงมาได้สักพักก็เจอพี่ดาว่า เท็นจิน ดาว่า คามี่ ที่พาลูกค้าป้าคนจีนขึ้นมา ดิฉันจึงขอร้องพี่ดาว่า คามี่ ขอปีนตามขึ้นไป แต่ไม่ต้องดูแลฉัน ขอฉันตามไปก็พอ พี่ดาว่า เท็นจินตกลง

>ที่ฮิลลารี่ สเต็ป ดิฉันปีนผ่านร่างที่นั่งคุดคู้เหมือนศพ ปรากฏว่าคนคนนั่นยังมีชีวิตอยู่ การมองเห็นของดิฉันแย่ลงเหมือนมีฝ้าคลุม แต่ดูออกว่าเป็นผู้ชายยุโรปนั่งสั่นและบ่นเป็นภาษาที่ดิฉันไม่เข้าใจ เขาไม่ได้ใส่ถุงมือ ผิวหนังกลายเป็นสีเหลืองซีด ไม่ได้คลิปฮาร์เนสส (เข็มขัดปีน) เข้ากับ fixed rope พอดิฉันปีนเข้าไปใกล้เขาก็หันขวับมา “เธอก้าวระวังหน่อยสิ อย่าเอาแครมปอนมาเกี่ยวมือฉันเชียวนะ” เขากล่าวออกมาเป็นภาษาอังกฤษ ทราบทีหลังว่าชายผู้นั้นคือ Szilárd Suhajda นักปีนเขาชาวฮังการี่ที่พยายามปีนยอดเขาเอเวอเรสต์โดยไม่ใช้ออกซิเจนและไม่ทีเชิร์ปาซัพพอร์ต และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่มีใครเห็นนักปีนคนนี้ เชอร์ปาในทีมเราเชื่อว่าเขาน่าจะตกลงไปจากบริเวณที่นั่งอยู่

>ตาของดิฉันเริ่มไม่สามารถแยกความแจกต่างของสีขาวได้ ทุกอย่างที่เป็นสีขาวก็กลืนกันไปหมด คิดว่าเป็นจากแว่นก๊อกเกิ้ลมีผลคกน้ำอข็งเกาะ เช็ดอย่างไรก็ไม่ออก แม้จะเปลีายนไปใส่แว่นของพี่ดาว่า เท็นจิน ก็ยังมองไม่เห็น คราวนี้พี่ดาว่าก็ปีนช้าลงเพราะต้องช่วยป้าคนจีนที่ช้าลงเรื่อยๆ ดิฉันเริ่มรู้สึกว่าความฝันทีาจะไปให้ถึงยอดเอเวอเรสต์ในปีนี้ควเป็นไปไม่ได้แล้ว ในเมื่อไม่เห็นแท้แต่ทางปีน

>และแล้วสุมาน กูรุง ช่างภาพภูเขาชื่อดังก็โผล่มาด้านหลังดิฉัน “ฉันมองอะไรแทบไม่เห็นแล้วสุมาน” “ส่งมือเธอมา ฉันจะพาไปขึ้นยอดเอง” สุมาน กูรุง นอกจากจะถ่ายวิดิโอ บินโดรนบนยอดเขาแล้ว เขายังชอบการฟิกเชือกเป็นชีวิตจิตใจ ในปีนี้เขาก็เป็นทีมฟิกเชือกไปจนถึงยอดเขาเอเวอเรสต์ เขารู้ทางดี

>สุมาน กูรุงด้านหน้ากลายเป็นจุดสีแดงมัวๆอยู่ด้านหน้า มือซ้ายของดิฉันอยู่ในมือของเขา “นั่นแน่มัณฑนา ยอดเขาเอเวอเรสต์ เธอยังมองเห็นอยู่มั๊ย” “เห็น” ดิฉันเห็นเพียงสามเหลี่ยมสีขาว มีสีฟ้าอ่อนอยู่รอบๆ ภายในไม่ถึง 15 นาที สุมานกูนึงประกาศ “เรามาถึงยอดเขาแล้ว” ดิฉันที่แทบจะเกาะอะไรไม่อยู่เพราะมองไม่เห็นและหงายไปหงายมา นายสุมานจับฮาร์เนสสของดิฉันคลิปเข้ากับหมุดที่จุดยอด “เธอมานั่งตรงนี้”

>มันคือ 8848.86 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลมาตรฐาน จุดที่สูงที่สุดในโลก แม้จะมาถึงด้วยความทุลักทุเลและด้วยเทคโนโลยี กระป๋องออกซิเจน เชอร์ปาซัพพอร์ต และเชิร์ปาที่หนีไป ดิฉันน้ำตาไหลออกมา “เธอจะร้องให้ทำไมเนี่ย” “ฉันจะทำให้พ่อภูมิใจ…รอให้เขารู้ซะก่อนเถอะ” นายสุมานวิทยุลงไปที่เบสแคมป์ แจ้งว่า “สุมาน กูรุง และ มัณฑนา ถวิลไพร ถึงยอดเขาแล้ว ณ เวลานี้ รวม 2 คน ณ เวลานี้”

>”เฮ่ เดีายวก่อนสิ พวกนายจะถึงกันแค่ 2 คนไม่ได้ ต้องนับฉันด้วย ต้องเป็น 3 คน ถึงพร้อมกัน” พ่อครัวที่ปีนตามขึ้นมาทีหลังตะโกน (ดิฉันพึ่งรู้ว่าพ่อครัวปีนตามขึ้นมา นึกว่าลงไปตั้งแต่ฮิลลารี่ เสต็ป)

>”ตกลง ตกลง ณ เวลานี้ สุมาน กูรุง, มัณฑนา ถวิลไพร, อัง ริต้า เชอร์ปา ถึงยอดเขาในเวลาเดียวกันจำนวน 3 คน” กลายเป็นเวลาที่บันทึกไว้คือ 8 นาฬิกา 15 นาที ตามเวลาท้องถิ่นประเทศเนปาลซึ่งช้ากว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง 15 นาที

>iphone และ gopro ของดิฉันดับไปแล้ว จึงมีเพียงภาพจากนายสุมาน กูรุง ในภาพจะเห็นว่าพ่อครัวไม่ได้ขึ้นมาที่จุดซัมมิต แต่หยุดอยู่ประมาณ 4 ก้าวจากจุดซัมมิต ดิฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่เดินขึ้นมาแค่อีก 4 ก้าว นางจะลงอย่างเดียวเลย พอชักภาพเสร็จนางก็ลงเลย คนอะไรเนี่ยยยยยยย?

>ดิฉันใช้มือซ้ายรูดเชือกเดินตามพ่อครัวไป โดยต้องตั้งใจมองอย่างละเอียดว่าพ่อครัววางเท้าที่ตรงไหน เพราะตอนนี้ตาของดิฉันแยกสีขาวไม่ได้แล้ว เห็นคนเป็นแค่วงกลมตามสีชุดที่ใส่ จนเมื่อลงพ้นฮิลลารี่ เสต็ป ดิฉันก็มักจะล้มและไถลลงไปตามสโลปหิมะ (ยังมีเชือกคลิปไว้อยู่)

>สถานการณ์ส่อแววเลวร้าย ดิฉันใช้ความกล้าที่มีอยู่สารภาพกับพ่อครัวว่า “ฉันคงมีสภาวะ snow blindness ฉันแทบจะมองไม่เห็นอะไรแล้ว ถ้าไม่ลงด้วย rappelling technique จะลงไม่ทันค่ำแน่ะๆ” นั่นหมายถึงดิฉันจะตาย หรือถูกทิ้งให้ตายอยู่บนนี้ เหมือนที่พบได้บ่อยๆในการปีนเขาสูง หรืออาจหลุดจากเชือก หลงทาง ตกลงไปตาย ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือ

>พ่อครัวตกลงที่จะช่วยดิฉันลงด้วยการแรพเพล โดยพ่อครัวจะเซ็ตเชือกและอุปกรณ์ปีนให้ดิฉัน ก่อนที่ดิฉันจะใต่ลงไปเอง และจะเป็นแบบนี้เมื่อเราเริ่มเชือกใหม่ ดิฉันเริ่มแยกเส้นเชือกขริงกับเงาของเส้นเชือกไม่ได้แล้ว การลงกินเวลานานกว่าปกติมาก ที่จริงแล้วไม่ใช่แค่พ่อครัวที่คอยช่วยเหลือดิฉัน แต่ยังมี Sensai Pema Waiba เซนไซ เวป้า, สุมาน กูรุง, ดาว่า คามี่ เชอร์ปา, ดาว่า เท็นจิน เชอร์ปา ที่คอยช่วยเหลือเป็นระยะ โดยเฉพาะ เซนไซ เวป้า ที่เป็นผู้กำกับวิดิโอบนที่สูง ในบางครั้งที่เดินได้ เขาจะให้ดิฉันเกาะกระเป๋าเป้สีเหลืองของเขาเดินไป ขอประกาศเกียรติคุณของมนุษย์เหล่านี้ที่ทำให้ดิฉันยังมีชีวิตอยู่ แม้จะต้องเสี่ยงแลกด้วยชีวิตของตัวเอง ด้วยออกซิเจนจำกัด ต้องแข่งกับเวลาในเขตุแดนของความตาย

>คนที่อยู่กับดิฉันตลอดก็จะมีพ่อครัวนี่แล่ะค่ะ สุดท้ายก็เหลือกันสองคน ในความเงียบ ในความกลัวที่เราไม่บอกกัน อากาศเย็นลงอีกเพราะดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบเขาในฝั่งเนปาล

“เธอเห็นนั่นไหม เรารอดแล้ว”

“ไม่เห็นอะไรแล้ว” องศาการวางเท้าจากทิ่มลงในแนวดิ่งกลายเป็นแนวป้าน ถ้าเดาไม่ผิดเราน่าจะมาถึงเนินหิมะสองร้อยกว่าเมตรสุดท้ายเหนือ South Col

>ดิฉันเดาไม่ผิด หลังจากนั้นไม่มี fixed rope แล้ว ดิฉันเดินลงเนิยหิมะอย่างสะบายอารมณ์โดยผูกเชือกสั่นตรึงกับพ่อครัวด้านหน้า (short roping) “คืนนี้ฉันจะดูแลเธอเอง” พ่อครัวว่า ดิฉันก็ไม่อยากแชร์เต๊นท์กับลูกปลาแล้วเหมือนกัน

>ที่แคมป์ 4 ไม่มีวี่แววของทั้งลูกปลาและเชอร์บี้ พวกเขาเก็บของและลงไปกันหมดแล้ว พ่อครัวเลยย้ายมาอยู่ที่เต๊นท์เก่าของดิฉัน ที่วันก่อนเราต้องอัดกัน 4 คน กับข้าวของและถังออกซิเจน พ่อครัวทำอาหารที่เหลืออยู่ มีซุปผงกับชาดำใส่น้ำตาล ดิฉันรู้สึกกระหายเหลือเกิน

>พ่อครัวบอกให้ถอดถุงเท้าเช็คดูเท้าหน่อยว่ามี frostbite บ้างหรือเปล่า (เนื้อเยื่อถูกทำลายเพราะความเย็นจัด) ปรากฏว่านิ้วเท้าทั้งสิบของดิฉันเป็นสีดำคล้ำ เอาแล้วสิ! Frostbite ของจริง!

>พ่อครัววิทยุลงไปบอกเบสแคมป์เพื่อจอให้ส่งเฮลิคอปเตอร์มา rescue ที่แคมป์สูง แน่นอนเรารู้ดีว่าเฮลิคอปเตอร์ลงจอดได้แค่ที่แคมป์ 2 และสามารถทำ long-line rescue ได้ที่แคมป์ 3 บริษัทประกันของดิฉันตกลงจัส่ง long-line rescue ที่แคมป์ 3 ในวันรุ่งขึ้น

>เช้าวันต่อมาพี่ดาว่า เกลเจ้น เชอร์ปาที่มีประสบการณ์สูงมาเปลี่ยนตัวกับพ่อครัว ให้พ่อครัวพาลูกค้าจีนอีกคนลงแทน และพี่เกลเจ้นจะจัดการดิฉันเอง ดิฉันยังคงมองไม่เห็น แยกสีขาวไม่ได้ และยังเริ่มมีอาการปวดที่เท้า พี่เกลเจ้นจึงต้องคอยนำทางดิฉัน traverse อย่างใกล้ชิด และช่วยดิฉันลงแบบ rappelling

>ระหว่างทางพบศพถูกแขวนไว้กับ fixed rope ในแนวดิ่ง เป็นภาพที่สะเทือนใจมาก ในภูเขาอันอ้างว้าง ลมพัดหิมะโปรยปราย ใครคนหนึ่งถูกห้อยไว้เดียวดายในชุดปีนสีส้มและรองเท้าสีเหลืองรุ่นเดียวกันกับที่ดิฉันใส่ คงเป็นศพที่รอทีมมาเก็บกู้ภายหลัง

>พอมาถึงแคมป์ 3 บริษัทประกันก็ไม่ยอมส่ง long-line rescue มาตามตกลง แต่ให้ปีนลงไปต่อที่แคมป์ 2 เพื่อให้ ฮ. ลงจอดได้

>ดิฉันถูก rescue จากแคมป์ 2 ลงมาที่เบสแคมป์ ต่อฮ. อีกลำไปเพริเช ต่อ ฮ. อีกลำไปลุคลา ถึงลุคลาค่ำพอดี เลยค้องแอดมิตที่ รพ. ลุคลา ได้รับการรักษาเป็นครั้งแรกด้วยการจุ่มเท้าในน้ำอุ่น ให้ยาละลายลิ่มเลือด พร้อมกับข่าวร้ายที่รู้กันเป็นวงกว้างแล้วว่ายารักษา Frostbite หมดประเทศเนปาลไป 4 วันแล้ว

>ดิฉันถูกส่งตัวต่อไป รพ. ในกาฐมาณฑุในวันต่อไป และทราบจากรพ. ที่เชี่ยวชาญการรักษา Frostbite ว่ายาหมดประเทศจริงๆ เพราะอุบัติการ frostbite ในรพ. เพียงแห่งเดียวยังมากกว่าในฤดูปีนเอเวอเรสต์ปกติถึง 300 เท่า แนะนำให้คุณกลับประเทศหรือไปหาประเทศไหนที่เขารับรักษา เพราะต้องรีบให้ยาให้เร็วที่สุดเพื่อลดอัตราการตัดเนื้อเยื่อ

>ขอบคุณ Sorarit Kiatfuengfoo ที่อุตส่าห์จะไปซื้อยา Iloprost จากเมืองไทยแล้วขึ้นเครื่องมาส่ง แต่หมอที่เนปาลไม่ยอม ยังไงยูก็ต้องกลับประเทศ หารือกับ Sorarit และอาจารย์หมอผู้เชี่ยวชาญการใช้ iloprost แล้ว สุดท้ายเราตกลงกันว่าดิฉันจะลงเครื่องแล้วนอน ambulance ไปรพ. บำรุงราษฎร์ทันที ขอบคุณ Sorarit ที่จอง icu และดำเนินการทุกอย่างให้ smooth ยิ่งกว่า silk ยกเว้นเครื่องบินดีเลย์

>หนึ่งคืนในรพ. ที่กาฐมาณฑุ แม้จะไม่ได้รับการรักษาอย่างที่หวัง แต่เพื่อนๆ ก็แห่มาให้กำลังใจ ป้าหนึ่งสั่งอาหารไทยมาเลี้ยง Prince Rambow เพื่อนเชอร์ปา และหมอราม (นายแพทย์ราม) ที่ปีนเอเวอเรสต์ด้วยกันในปี 2022

>ดิฉันได้รับยา Iloprost ขยายหลอดเลือด 1 นาฬิกา 29 พฤษภาคม มีผลข้างเคียงทุกอย่าง ทั้งความดันตก ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อยู่ไม่สุข กระสับกระส่าย การให้ยาแต่ละครั้งนาน 8 ชั่วโมง และยายังไม่หมดฤทธิ์ในทันที เป็นช่วงเวลาที่ลำบากมาก ให้ยาหมดเช้าพอดี อาจารย์ดิวอี้-แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ทางทะเล (Maritime Medicine) ได้จัดให้ดิฉันได้รับการรักษาด้วยการบำบัดด้วยออกซิเจนความกดบรรยากาศสูง หรือ Hyperbaric Oxygen Therapy (HBOT)

>หลังจากได้ Iloprost โดสที่สอง ไม่มีความดันโลหิตตกแล้ว จึงได้รับอนุญาตจากอาจารย์เดช-แพทย์เวชบำบัดวิกฤต ให้ออกไปอยู่ห้องพิเศษได้ ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิด จึงได้แจ้งกับครอบครัวว่าถึงเมืองไทยแล้ว อยู่รพ. โดยมี Sorarit มาช่วยวิดิโอคอลจาก ICU ไปคุยกับคุณพ่อและคุณแม่ให้เบาใจ

>ดิฉันได้รับการรักษาช่วงฉุกเฉินที่รพ. บำรุงราษฎร์ 5 วัน แล้วจึงย้ายมารักษาต่อที่รพ. ศรีนครินทร์ ที่ขอนแก่นบ้านเกิดค่ะ

>ปัจจุบันนี้ยังรักษาต่อเนื่องที่รพ. ศรีนครินทร์ ด้วยการบำบัดด้วยออกซิเจนแรงดันสูง ยาฉีด และยารับประทาน โดยหวังว่าจะรักษาเท้าไว้ให้ได้มากที่สุด

ที่ไม่ได้เขียนเล่าให้ทุกคนอ่านก่อนหน้านี้เพราะแขนและมือ 2 ข้างถูกแทงเป็นรูเปิดให้ยา ระหว่างให้ยามีอาการอ่อนเพลียมาก ตอนนี้ได้กลับบ้านแล้ว แต่การต้องไปรพ. ทุกวัน เข้าตู้ HBOT และทำแผลขนาดใหญ่มันเหนื่อยมากๆ เหนื่อยจนทำอะไรต่อไม่ไหว เดินเองได้ไม่กี่ก้าว ต้องใช้ walker และถ้าจะออกจากบ้านก็ wheelchair

#เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS

Continue Reading
Advertisement ad-02-doosoft.jpg
Advertisement QK6ZtN.png

Copyright © 2022 TOJO.NEWS

%d bloggers like this: