วิรังรอง ขอร้องให้ 55 นักวิชาการยกเลิกการถวายฎีกาแก้วิกฤตชาติ
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า นางวิรังรอง ทัพพะรังสี ประธานเครือข่ายมหาวิทยาลัยเพื่อการปฏิรูปประเทศ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
ดิฉันเขียนบทความนี้เพื่อขอร้องให้นักวิชาการทั้ง 55 ท่านพิจารณาทบทวน ยกเลิก การถวายฎีกาขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยแก้ไขปัญหาวิกฤติชาติบ้านเมืองในวันที่ ๒๗ มิ.ย. ศกนี้
โดยดิฉันมีเหตุผลดังนี้:
(ขออนุญาตเขียนคำแบบชาวบ้านนะคะไม่เก่งราชาศัพท์)
๑.พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมือง ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นเป็นปัญหาการเมือง สถานะของรัฐบาลกำลัง ตกต่ำถึงที่สุด ควรใช้กระบวนการทางกฎหมายแก้ไขปัญหาโดยยึดหลักนิติรัฐ นิติธรรม การถวายปัญหาให้พระองค์ต้องแก้ไขเป็นการรบกวนและระคายเบื้องพระยุคลบาท
๒.ในหลวงไม่เคยทอดทิ้งประชาชน ทุกครั้งที่มีปัญหาท่านจะพระราชทานความช่วยเหลือ ล่าสุดก็เรื่องชายแดนดังที่เป็นข่าวทราบกันดี ดังนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้ ดิฉันเชื่อว่าไม่พ้นจากพระเนตรพระกรรณ ถ้าหากพระองค์ท่านทรงคิดว่าสมควรที่จะลงมาจัดการปัญหานี้ เป็นการดีต่อประเทศชาติ ท่านคงทำนานแล้ว ไม่ต้องรอให้นักวิชาการถวายฎีการ่ายยาวถอดคลิปเสียงไปถวายท่าน
๓.พระมหากษัตริย์ ทรงมีองคมนตรีเป็นที่ปรึกษาถึง ๑๙ ท่าน แต่ละท่านเป็นผู้ที่จงรักภักดีมีความรู้ความสามารถมีประสบการณ์ ก็ไม่เคยได้ข่าวว่ามีองคมนตรีท่านใดถวายคำแนะนำให้ในหลวงลงมาแก้ปัญหาการเมืองในขณะนี้
๔.ขณะนี้ยังมีกระบวนการทางกฎหมายที่กำลังดำเนินการอยู่ทั้งศาลรัฐธรรมนูญ และป.ป.ช. อีกไม่กี่วันก็จะทราบแล้วว่าศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องหรือไม่ ควรจะอดทนให้ถึงเวลานั้น และนี่ก็ถือโอกาสส่งข้อความกราบเรียนท่านตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ว่าท่านคือความหวังของประชาชนว่า ในวันที่ ๑ กรกฎาคมที่จะถึงนี้ ท่านจะไม่ทำให้พวกเราผิดหวัง พวกเราประชาชนพยายามทำทุกอย่างแล้ว แต่โอกาสที่นายกฯ จะลาออกเองไม่มี เพราะในอดีตทั้งพ่อและน้าสาวของนายกนั้น ประชาชนไล่เท่าไหร่ก็ไม่ลาออก แต่มาจบที่ศาลใช้หลักนิติรัฐตามกฎหมายจนต้องหนีไปทั้งคู่ ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ดิฉันคิดว่านายกน่าจะมีจุดจบวิบากกรรมส่งผลเพราะการกระทำของตัวเอง ด้วยคำสั่งศาลแบบเดียวกับพ่อและน้าสาว
วันนี้ดิฉันได้ข่าวว่า ท่านตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า ลำบากใจว่าจะรับ หรือไม่รับคำร้อง ดิฉันไม่แน่ใจว่านี่เป็นข่าวจริงหรือไม่ และไม่ทราบว่าทำไมท่านต้องลำบากใจ เพียงแต่ท่านวินิจฉัยตามข้อกฎหมายที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ บ้านเมืองก็จะสงบสุขขึ้น ประชาชนไม่ต้องออกมาลงถนน ถ้าประชาชนพึ่งสถาบันตุลาการได้ ก็จะไม่มีใครคิดถวายฎีกาให้ระคายเบื้องพระยุคลบาท
๕.นอกจากกระบวนการยุติธรรมซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ เรายังมีกลุ่มประชาชน ที่มีความกล้าหาญ แสดงออกซึ่งการต่อสู้ตามวิถีประชาธิปไตย นัดชุมนุมโดยสงบ เรียกร้องกดดันให้นายกฯ และพรรคร่วมรัฐบาลลาออก เพราะหมดความชอบธรรม ประชาชนไม่สามารถไว้วางใจให้นายกฯ และรัฐบาลชุดนี้บริหารประเทศต่อไปได้ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยตามรัฐธรรมนูญ เราจึงจะใช้สิทธินั้นผ่านการชุมนุมในวันเสาร์ที่ ๒๘ นี้
๖.การถวายฎีกาขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยแก้ไขปัญหาวิกฤติชาติบ้านเมืองนั้น ดิฉันเข้าใจว่าถ้าจะพูดง่าย ๆ ก็คือ ขอพระราชทานนายกใหม่ หรืออาจจะถึงกับคณะรัฐบาลด้วย
แต่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมิได้บัญญัติให้สามารถมีนายกคนนอกได้ และไม่มีบทบัญญัติให้พระมหากษัตริย์ พระราชทานนายกฯ หรือแต่งตั้งคณะรัฐบาลโดยตรงเช่นกัน การกระทำใด ๆ ที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญถือว่าผิด บังคับใช้ไม่ได้ แล้วจะถวายฎีกาให้พระมหากษัตริย์ทรงกระทำผิดรัฐธรรมนูญหรือ
การที่มีผู้เรียกร้องให้มีนายกคนนอก หรือขอนายกพระราชทานในขณะที่ยังสามารถใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎ หรือ ข้อบังคับ แก้ไขสถานการณ์ได้ จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เว้นเสียแต่ว่า เช่น เกิดกรณีที่รัฐบาลไม่สามารถจะบริหารบ้านเมืองต่อไปได้ แคนดิเดตนายกฯ ป่วยหนักขั้นวิกฤต เส้นเอ็นเปื่อยยุ่ย ใกล้ตายไม่สามารถรับตำแหน่งได้เลยสักคนเดียว หรือตั้งรัฐบาลไม่ได้ เกิดสุญญากาศทางการเมือง ถึงทางตันไม่มีบทบัญญัติใดในรัฐธรรมนูญที่จะนำมาใช้แก้ปัญหาได้
รัฐธรรมนูญบัญญัติฉบับปี พ.ศ.๒๕๖๐ มาตรา ๕ มีบทบัญญัติซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในรัฐธรรมนูญฉบับก่อน ๆ คือ “เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้กระทำการนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
รัฐธรรมนูญจะเขียนไว้อย่างกว้าง ๆ ถ้าจะตีความว่าพระมหากษัตริย์พระราชทานนายกฯ คนนอก หรือคณะรัฐบาลได้ ก็ควรที่จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความให้ชัดเจนก่อน แต่ที่สำคัญก็คือ ต้องไม่มีบทบัญญัติใดแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับใช้ได้ จึงจะสามารถใช้ตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
๗.การรวบรวมรายชื่อเพื่อถวายฎีกานี้ดิฉันเห็นแชร์รวบรวมรายชื่อในกลุ่มไลน์ประมาณ ๓ -๔ วันที่ผ่านมา ซึ่งขณะนั้นเริ่มมีผู้ลงชื่อประมาณ 2-3 คน รวมผู้ริเริ่มด้วยแล้ว เชื่อว่าจะมีคนแชร์ต่อออกไปอีก
ดิฉันเห็นรายชื่อนักวิชาการหลายท่านที่ดิฉันรู้จักชื่อเสียงของท่านดิฉันเชื่อว่าท่านมีเจตนาดีในการร่วมลงชื่อถวายฎีกา แต่การกระทำอันเร่งรีบที่จะยื่นให้ได้ภายในวันที่ ๒๗ ก่อนชุมนุม ๑ วัน และก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาเพียง ๔ วัน ทำให้เกิดข้อสงสัยจนมีคำถามเกิดขึ้นว่าความเคลื่อนไหวเรื่องนี้ มีเจตนาอะไรเบื้องหลังหรือเปล่า เพราะหลังจากสื่อเริ่มทำข่าว ก็มีอีกข่าวหนึ่งที่เงียบมานาน ตามมาเหมือนสอดรับทันทีกับเรื่องการถวายฎีกาคือ รัฐบาลถอยเสนอกฎหมายกาสิโน แต่กลับดันร่างกม. นิรโทษกรรมเข้าแทน
พวกเราที่ติดตามการเมืองก็ทราบกันอยู่ว่า พรรคการเพื่อไทยและพรรคส้ม พยายามผลักดันเรื่องนิรโทษกรรมตลอดมา การถวายฎีกาให้ในหลวงทรงแก้ปัญหาการเมืองในขณะนี้ ถึงแม้พระองค์ท่านจะมิได้ทรงทำอะไร แต่ก็เป็นการดึงพระองค์ท่านลงมาเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสถาบัน และที่สำคัญ จะทำให้พรรคการเมืองทั้งสองใช้เป็นข้ออ้างผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมได้
เมื่อพิจารณาถึงเหตุผลข้างต้นแล้ว ดิฉันเห็นว่าเราควรใช้ช่องทางในการแก้ปัญหาทางการเมืองที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้
-ตามขั้นตอน และกระบวนการตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ (ข้อ ๔ ที่กล่าวมาข้างต้น) และ
-ตามวิถีประชาธิปไตย (ข้อ ๕ ที่กล่าวมาข้างต้น)
ดูเรื่องถวายฎีกานี้ ก็คล้ายกับเรื่องนายกฯ และพรรคร่วมรัฐบาล ผู้ที่เป็นต้นคิดที่จะถวายฎีกาก็คล้ายนายกฯ พรรคร่วมรัฐบาลก็เปรียบเสมือนนักวิชาการ ๕๔ ท่านที่ร่วมลงชื่อ นายกไม่ลาออก-ผู้ริเริ่มจะถวายฎีกาก็ไม่ยกเลิก แต่ถ้านักวิชาการที่ร่วมลงชื่อ ๕๔ ท่านถอนรายชื่อไม่ร่วมด้วย ก็อาจจะทำให้ผู้ที่เป็นคนต้นคิดเรื่องถวายฎีกาได้ทบทวนว่าจะยังคงเดินหน้าคนเดียวต่อไปหรือยกเลิก
จึงขอร้องท่านนักวิชาการทั้ง ๕๕ ท่านได้โปรดพิจารณายกเลิกการถวายฎีกาในวันที่ ๒๗ มิถุนายน แล้วออกมาร่วมต่อสู้กับกลุ่มพลังประชาชนในวันที่ ๒๘ จะด้วยการออกแถลงการณ์ หรือการมาร่วมแบบตัวเป็น ๆ ก็ยินดีค่ะ