“อู๋ ธรรพ์ณธร”พาภรรยาร้องกองปราบฯ ถูกเพจช้อปปิ้งออนไลน์ฉ้อโกง
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า นายธรรพ์ณธร ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา หรือ “อู๋ ธรรพ์ณธร” นักร้องดัง และ นางสาวกรวิวรรณ์ ศรีพันธุ์ หรือ “ครูเก๋า-กรวิวรรณ์” (ภรรยา) พร้อมทนายความส่วนตัว ได้เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์ ต่อพนักงานสอบสวน กองปราบฯ กรณีสั่งซื้อหมวกจากร้านออนไลน์ ผ่านเฟซบุ๊ก ในราคา 1,500 บาท แต่หลังโอนเงินไปแล้วกลับไม่ได้ของ จึงมาแจ้งความเพื่อให้เป็นอุทาหรณ์แก่สังคม เนื่องจากมีประชาชนโดนหลอกเป็นจำนวนมาก
โดย “อู๋ – ธรรพ์ณธร” กล่าวว่า ช่วงภาวะโควิดระบาด ตนใช้วิธีซื้อสินค้าผ่านแอพพลิเคชั่น ช็อปปิ้งออนไลน์เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาไปสัมผัสกับโรค โดยได้สั่งซื้อ หมวกปานามามือสอง จากเพจเฟซบุ๊คเพจหนึ่ง จึงตัดสินใจสั่งซื้อในราคา 1,500 บาท โดยโอนเงินไปเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. ที่ผ่านมา 3 วันผ่านไป ตนยังไม่ได้รับหมวกดังกล่าว จึงได้สอบถามไปยังแอดมินเพจดังกล่าว ซึ่งเจ้าตัวยังคงยืนยันว่า มีสินค้าและจะส่งให้ตนแล้ว แต่จนถึงขนาดนี้ยังไม่ได้รับ ล่าสุดตนจึงไปเช็คในเพจเมื่อวานนี้อีกครั้ง พบว่าถูกบล็อคช่องทางการติดต่อสื่อสารทั้งหมด จึงเข้าไปสืบประวัติของเพจนี้ พบว่า เป็นมีลูกค้ารายอื่น ๆ ถูกหลอกในลักษณะนี้เป็นจำนวนมาก ถึงแม้มูลค่าความเสียหายของแต่ละคนมีไม่มาก แต่เมื่อนำมารวมกัน พบว่ามีมูลค่าสูงพอสมควร
ดังนั้น ตนจึงมาแจ้งความเพื่อเป็นการรักษาสิทธิ เมื่อเจ้าของเพจซึ่งมีพฤติกรรมเป็นมิจฉาชีพ และอยากเรียกร้องให้ประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อออกมาแสดงตัวและแจ้งความดำเนินคดี ทำให้เป็นคดีตัวอย่าง เพราะมันไม่ควรเกิดเหตุการณ์ลักษณะแบบนี้ เราอยู่ในสังคมเดียวกันก็ไม่ควรเอาเปรียบซึ่งกันและกัน ต้องมีความซื่อสัตย์ระหว่างกัน อีกทั้งในยุคข้าวยากหมากแพง เงินแพง 1,500 บาท หรือ 100 บาท ก็มีความสำคัญต่อเจ้าของเงิน
นอกจากนี้ อู๋ ธรรพ์ณธร ยังกล่าวติดตลกอีกว่า ที่ร้ายแรงและสำคัญที่สุดที่ต้องเข้าแจ้งความ เนื่องจากเสียฟอร์มที่ถูกครูเก๋า-กรวิวรรณ์ ภรรยาของตนบ่นตลอดที่เสียเงินโดยไม่ได้สินค้า
ด้านนายพรศักดิ์ วิภาสอาภานนท์ ทนายความ กล่าวว่า พฤติกรรมของแอดมินเพจนี้ เข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน เนื่องจากมีการโฆษณาชักชวนซื้อขายสินค้า มีการรับโอนเงินจากลูกค้าโดยไม่ส่งสินค้าให้ ประกอบกับมีการบล็อคช่องทางการสื่อสาร ปิดเพจหนี ซึ่งเจตนาชัดเจนว่า ต้องการหลอกลวงประชาชนทั่วไป จึงเข้าองค์ประกอบความผิดคดีฉ้อโกงประชาชน แม้ขณะนี้มีผู้เสียหายแค่คนเดียวมาแจ้งความก็ตาม ตนอยากฝากถึงผู้ประกอบการขายของทางออนไลน์ว่า ขอให้มีความซื่อสัตย์สุจริต อย่าฉวยโอกาสในการเป็นมิจฉาชีพหลอกลวงประชาชนเช่นนี้ อยากให้คดีนี้เป็นคดีตัวอย่าง ถึงแม้จะสามารถจับกุมมิจฉาชีพได้ 1 รายแต่อย่างน้อยก็สามารถทำให้สังคมสงบสุขได้
#เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS