Connect with us

News

เครือข่ายฯ ไม่ยอม! ออกแถลงการณ์!! รัฐจะแย่งที่ดินของประชาชน ไปประกาศอุทยานแห่งชาติน้ำตกซีโป

Published

on

เขตอุทยานฯ ทำสวนทางกับคำเรียกร้อง! เครือข่ายฯ ออกแถลงการณ์ ที่ดินทำกินของประชาชนกำลังกลายเป็นอุทยานแห่งชาติ ซ้ำ ชี้แจงข้อความเท็จ กดดัน ให้ประชาชนเข้าร่วม

ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า เครือข่ายประชาชนปกป้องสิทธิในที่ดินรอบพื้นที่เตรียมประกาศเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกซีโป แถลงการณ์กรณีการแก้ปัญหาแนวเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกซีโปทับที่ดินทำกิน โดยระบุว่า

แถลงการณ์ Tanah Kita Network เรื่อง กรมอุทยานฯ ต้องหยุดให้ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงแก่ประชาชนว่า “การสำรวจการครอบครองที่ดิน” คือ การแก้ไขปัญหาแนวเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกซีโปทับที่ดินทำกิน !!!

ตามที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้อ้างว่า กำลังดำเนินการแก้ไขปัญหาตามที่เครือข่ายประชาชนได้ร้องเรียนกรณีการกำหนดแนวเขตเตรียมจัดตั้งอุทยานแห่งชาติน้ำตกซีโปได้ทับที่ดินทำกินของประชาชน โดยที่ผ่านมากรมอุทยานฯ ได้ผลักดันให้จังหวัดนราธิวาสตั้งคณะทำงานชุดหนึ่งเพื่อสำรวจแนวเขตที่ดินทำกินของประชาชนและอ้างว่าคณะทำงานจะกันที่ดินทำกินของประชาชนออกจากการกำหนดแนวเขตอุทยานแห่งชาติฯ ซึ่งปัจจุบันคณะทำงานชุดนี้ ได้เริ่มสำรวจที่ดินทำกินของประชาชนไปแล้วในบางหมู่บ้าน โดยให้เจ้าของที่ดินแต่ละรายมาแสดงตนและชี้แปลงที่ดินของตนต่อเจ้าหน้าที่ นั้น

เครือข่ายประชาชนปกป้องสิทธิในที่ดินรอบพื้นที่เตรียมประกาศเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกซีโป (Tanah Kita Network) เห็นว่า การดำเนินการนี้ของกรมอุทยานฯ คือ การชักจูงให้ประชาชนหลงเชื่อว่ากรมอุทยานฯ กำลังแก้ไขปัญหาให้ แต่แท้ที่จริงแล้วนั้น นี่คือกระบวนการที่รัฐจะแย่งยึดที่ดินของประชาชนไปประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติได้ในที่สุด กล่าวคือ

1) ที่ผ่านมาเครือข่ายประชาชนได้เรียกร้องให้กรมอุทยานฯ แก้ปัญหาแนวเขตจัดตั้งอุทยานแห่งชาติน้ำตกซีโปทับที่ดินทำกินด้วย “การจัดทำแนวเขตอุทยานฯ เสียใหม่” ไม่ให้ทับพื้นที่ของประชาชน แต่สิ่งที่กรมอุทยานฯ กำลังทำคือ “การสำรวจการครอบครองที่ดินของประชาชน” ซึ่ง 2 สิ่งนี้มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ

1.1 “การจัดทำแนวเขตอุทยานฯ เสียใหม่” ตามที่เครือข่ายประชาชนเรียกร้องนั้น วางอยู่บนข้อเท็จจริงที่ว่า ในขณะนี้ยังไม่มีแนวเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกซีโปตามกฎหมาย ดังนั้น จึงไม่มีประชาชนรายใดที่มีที่ดินทำกินอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติฯ และยังไม่มีแผนที่ฉบับจริงของแนวเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกซีโป (มีแต่ฉบับร่างที่กรมอุทยานฯ ทำขึ้นเองเท่านั้น) จึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ประชาชนจะต้องไปชี้แนวเขตที่ดินของตนว่าอยู่ตรงไหนหรือว่าอยู่ในเขตอุทยานฯ หรือไม่ สิ่งที่กรมอุทยานฯ ควรทำก็คือ การร่วมกับประชาชนเดินเท้าเพื่อร่วมกันกำหนดแนวเขตที่จะจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติน้ำตกซีโป โดยแนวเขตอุทยานแห่งชาติฯ นี้ ต้องไม่ทับพื้นที่ทำกินของประชาชนทั้งชุมชน จากนั้นจึงให้กรมอุทยานฯ แสดงสัญลักษณ์เส้นแนวเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกซีโปที่จัดทำใหม่นี้ให้ประชาชนเห็นได้โดยชัดเจน ก่อนที่กรมอุทยานฯ จะต้องจัดเวทีรับฟังคิดเห็นตามกฎหมายต่อไป

1.2 ส่วน “การสำรวจการครอบครองที่ดิน” ที่กรมอุทยานฯ กำลังให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการ โดยให้ประชาชนแต่ละรายไปแสดงตนเพื่อชี้แปลงที่ทำกินของนั้น แท้จริงแล้วเป็นไปตาม “แนวทางการแก้ไขปัญหาที่ดินของราษฎรในเขตป่าอนุรักษ์ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561” อันหมายถึงกรณีที่ดินประชาชนที่อยู่ใน “ป่าอนุรักษ์” (อันได้แก่ อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และเขตห้าล่าสัตว์ป่า) ที่ได้ประกาศจัดตั้งไปเรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ ตามปกติแล้วขั้นตอนของทางการ (ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่ได้แจ้งให้ประชาชนทราบ) หลังจากที่ประชาชนชี้แปลงที่ทำกินเสร็จแล้ว ก็คือ การพิสูจน์ว่าผู้ครอบครองได้มีการทำประโยชน์ในที่ดินต่อเนื่องจริงหรือไม่ โดยการตรวจสอบแปลงที่ดินทำกินกับภาพถ่ายดาวเทียม การแปลภาพถ่ายทางอากาศ และภาพออโธสีปี 2545 จากนั้นเมื่อผลการพิสูจน์ออกมา พื้นที่ที่ถูกกันออกจากเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกซีโปก็จะอยู่ในความดูแลของกรมป่าไม้ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 ต่อไป

2) “การสำรวจการครอบครองที่ดิน” ที่เจ้าหน้าที่ของกรมอุทยานฯ ในพื้นที่กำลังดำเนินการอยู่นี้ มีความไม่ชอบมาพากลหลายประการ กล่าวคือ
2.1) เจ้าหน้าที่ฯ ได้ทำการกดดันประชาชนให้เข้าร่วมกระบวนการ “การสำรวจการครอบครองที่ดิน” โดยระบุว่าหากไม่เข้าร่วม ที่ดินแปลงนั้นจะถูกกำหนดให้เป็นอุทยานแห่งชาติน้ำตกซีโป
2.2) เจ้าหน้าที่ฯ ได้ให้ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงแก่ประชาชนว่า ที่ดินทุกแปลงที่เข้าร่วม “การสำรวจการครอบครองที่ดิน” จะถูกกันออกจากการกำหนดให้เป็นอุทยานแห่งชาติน้ำตกซีโป (ความจริงคือจะต้องมีการพิสูจน์สิทธิอีกหลายขั้นตอน)
2.3) เจ้าหน้าที่ฯ ได้ให้ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงแก่ประชาชนว่า แม้ที่ทำกิน (สวน) ของประชาชนบางส่วนจะถูกกำหนดให้เป็นอุทยานแห่งชาติฯ แต่เจ้าของแปลงก็ยังคงสามารถเข้าทำประโยชน์ (เก็บผลผลิต) ได้ดังเดิม โดยเจ้าหน้าที่ฯ จะยกเว้นไม่จับกุมดำเนินคดี เช่น สวนในรัศมี 20 เมตรสองข้างธารน้ำตก
2.4) เจ้าหน้าที่ฯ ไม่มีการชี้แจงต่อประชาชนผู้ได้รับผลกระทบว่า ขณะนี้การประกาศอุทยานแห่งชาติน้ำตกซีโปดำเนินการไปถึงขั้นไหนแล้วตามกฎหมาย และจะมีการจัดเวทีการรับฟังความคิดเห็นที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงอีกครั้งหรือไม่
2.5) เจ้าหน้าที่ฯ ได้ให้ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงแก่ประชาชนว่า เมื่อการจัดตั้งอุทยานแห่งชาติน้ำตกซีโปเสร็จสิ้นแล้ว ที่ดินแปลงใดที่ไม่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติน้ำซีโปก็จะได้รับเอกสารสิทธิที่ดิน ทั้งที่จริงยังมีข้อกฎหมายและแนวนโยบายที่เป็นอุปสรรคต่อการที่ประชาชนรอบพื้นที่อุทยานแห่งชาติจะได้รับเอกสารสิทธิที่ดินอยู่มาก

ดังนั้น Tanah Kita Network เห็นว่า ประชาชนผู้เป็นเจ้าที่ดินที่กำลังจะถูกประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติน้ำตกซีโป ควรต้องปฎิเสธไม่เข้าร่วมและต้องคัดค้าน “การสำรวจการครอบครองที่ดิน” ที่ไม่เพียงแต่มีความไม่ชอบมาพากลตามที่กล่าวมาข้างต้น แต่การเข้าร่วมการสำรวจการครอบครองที่ดินนี้ยังทำให้เจ้าหน้าที่รัฐมีข้อมูลการครอบครองที่ดินทำกินของประชาชนรายบุคคล ก่อให้เกิดความสุ่มเสี่ยงอย่างมากที่ประชาชนผู้เป็นเจ้าของที่ดินจะถูกทางการรังแกด้วยการจับกุมดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกและทำลายป่าอย่างไม่เป็นธรรมโดยใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 ที่ยังคงมีปัญหาเรื่องคำนิยาม “ป่า” ที่ไม่เหมาะสม

นอกจากนั้น หากประชาชนในพื้นที่ใดได้เข้าร่วมการสำรวจการครอบครองที่ดินแล้ว ก็ต้องช่วยกันแสดงความจริงให้สังคมได้รับรู้ว่าได้ถูกทางการกดดันจนต้องยอมทำตาม หรือได้รับข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงจากเจ้าหน้าที่จนหลงเชื่อ พร้อมทั้งขอให้เครือข่ายประชาชนร่วมมือร่วมใจกันเดินหน้าเรียกร้องให้มีการจัดทำแนวเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกซีโปเสียใหม่ที่โดยไม่ทับที่ดินทำกินของประชาชนอย่างงแท้จริง

#เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS

Continue Reading
Advertisement ad-02-doosoft.jpg
Advertisement QK6ZtN.png

Copyright © 2022 TOJO.NEWS

%d bloggers like this: