ปวิน โพสต์แรงถึงกัน จอมพลัง หลังโดนตั้งคำถามถึงความโปร่งใส งัดคำว่าความดีมาเป็นเกราะป้องกัน
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า ศ.ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเกียวโต โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
กันจอมพลังตัดพ้อ “โดนอย่างนี้แล้วใครอยากจะทำความดี” ขอพูดแรงๆ สักครั้งในชีวิต นี่คือการอ้างการทำความดีเพื่อ “ชุบตัว” ค่ะ หลังถูกเปิดโปงเรื่องความโปร่งใสของกองทุน สะท้อนให้เห็นถึงข้อสงสัยของสาธารณะต่อแรงจูงใจเบื้องหลังการทำงานเพื่อสังคม กันจอมพลังเลยงัดคำศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาใช้ นั่นคือคำว่า “ความดี” แต่ไอ้การทำความดีในบริบทของบุคคลสาธารณะแบบกันจอมพลัง แม่งก็เป็นแค่กลไกสร้างเกราะป้องกันทางสังคม หรือเป็นเครื่องมือกลบกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเงินหรือความสัมพันธ์กับอำนาจรัฐ เมื่อมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความโปร่งใสทางการเงินหรือความสัมพันธ์เชิงอำนาจเกิดขึ้น ก็มักอ้างว่าสิ่งที่ตัวเองทำให้สังคมคือความดี ที่สุดท้ายเอามาล้างความผิด ซึ่งเป็นวาทกรรมที่สังคมไทยคุ้นเคยและพบเจอบ่อยๆ เช่น ลูกตัวเองไปฆ่ๅคนอื่น พ่อแม่จะบอกว่า ปกติลูกเป็นคนดี อะไรแบบนี้
…นี่แหละค่ะ สังคมไทยแม่งมักเชิดชูคนดีที่ตรวจสอบไม่ได้ เป็นหัวใจสำคัญของปัญหาเชิงโครงสร้าง ความเชื่อในเรื่องการ “ทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทน” หรือการให้ความเคารพต่อบุคคลที่สละตนเพื่อส่วนรวม ทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อยมักละเลยการตรวจสอบในรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับที่มาของเงินทุน หรือกระบวนการบริหารจัดการความช่วยเหลือ เพราะมองว่าการตรวจสอบนั้นเป็นการ “ลบหลู่” หรือ “จ้องจับผิด” คนที่ทำความดี ปรากฏการณ์นี้ทำให้เกิดช่องโหว่ที่บุคคลบางกลุ่มสามารถใช้ “เสื้อคลุมแห่งความดี” บังหน้าความไม่โปร่งใส หรือใช้สถานะจากการเป็นผู้ช่วยเหลือสังคมเพื่อสร้างอิทธิพลและความน่าเชื่อถือทางธุรกิจหรือการเมือง ซึ่งในระยะยาวส่งผลเสียต่อความโปร่งใสของภาคประชาสังคมโดยรวมค่ะ แต่กันจอมพลังไม่ใช่คนแรกและคนสุดท้ายที่อ้างความดีที่ปกปิดความเน่าเหม็น สถาบันต่างๆ ของไทยก็ operate บนเทคนิคเหล่านี้ อาทิ สถาบัน….ทำเพื่อประชาชน เพราะฉะนั้น เราห้ามวิจารณ์ บลา บลา บลา
…สุดท้ายค่ะ ดิชั้นเชื่อเสมอว่า “จะเป็นคนดี ต้องให้คนอื่นเขาเรียก” ไม่ใช่เสือกเรียกตัวเอง เพราะ “ความดี” และ “ความชอบธรรม” ที่แท้จริงต้องมาจากการประเมินและการรับรองจากสาธารณะ ไม่ใช่จากการประกาศตนเองหรือการสร้างภาพลักษณ์ผ่านสื่อ การทำงานช่วยเหลือสังคมที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ต่างหากที่เป็นรากฐานสำคัญ การถูกตั้งคำถามอย่างหนักในประเด็นการเงินและผลประโยชน์จึงเป็นการตรวจสอบความชอบธรรมว่าความดีที่ปรากฏออกมานั้นเป็นไปเพื่อสาธารณะจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงการลงทุนสร้างภาพลักษณ์เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน หรือหาประโยชน์ทางการเงิน เมื่อสังคมเริ่มตระหนักและกล้าตั้งคำถามต่อผู้ที่อ้างตนเป็น “คนดี” อย่างตรงไปตรงมามากขึ้น ก็เป็นสัญญาณที่ดีว่าสังคมไทยกำลังก้าวออกจากยุคที่ “ศรัทธา” อยู่เหนือ “หลักฐาน” และกำลังเรียกร้องมาตรฐานที่สูงขึ้นด้านความโปร่งใสในการทำงานเพื่อสาธารณะ
จะเหลือแต่เพียงอีคนอ้างความดีที่แหละ ที่ยังหน้าด้านหน้าทน หาแดกจากศรัทธาคนต่อไป – ค่ะ กูด่ามึง อีหมูตอน
#เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS