หมอนิธิพัฒน์ เผย สถานการณ์โควิดปัจจุบัน ชี้ หมดหวังแล้วกับนักการเมืองหน้าเดิมๆ แลบลิ้น ปลิ้นตาหลอกลวงเอาผลประโยชน์ชาติเข้าพกเข้าห่อตัวเองไปวันๆ
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว นิธิพัฒน์ เจียรกุล อัพเดตสถานการณ์ผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในประเทศไทย ว่า ผู้ป่วยอาการรุนแรงวันนี้ ลงต่ำกว่า 900 ราย ติดต่อกันเป็นวันที่ 4 แต่ยังต้องรอลุ้นตัวเลขผู้ติดเชื้อรายสัปดาห์ (ผลตรวจ ATK สะสม 7 วัน) ในวันที่ 22 สิงหาคม 2565 ว่า จะลงไปต่ำกว่า 2 แสนราย ได้หรือไม่ คงไม่น่ามีข้อสงสัยกันแล้วว่า วัคซีนเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้มนุษยชาติก้าวข้ามวิกฤตการณ์โควิด-19 ไปได้ ตราบใดที่ยังไม่มีการกลายพันธุ์ใหม่ๆ ที่แหวกภูมิเดิมอยู่เรื่อยๆ และไม่มีโคโรนาไวรัสอื่นที่มนุษย์ไปเอามาจากการรุกรานสัตว์อื่นที่อยู่ร่วมโลก
รศ.นพ.นิธิพัฒน์ ระบุว่า กลุ่มนักวิทยาศาสตร์กำลังมองหาช่องทางนำนาโนเทคโนโลยีมาใช้ผลิตวัคซีนที่สามารถจดจำส่วนสำคัญๆ ของโคโรนาไวรัสให้ได้มากที่สุด (coronavirus spike protein called the receptor binding domain or RBD) เพื่อกลบจุดอ่อน 2 ด้าน และสามารถรับมือกับการกลายพันธุ์เล็กน้อยไปจนถึงมากได้ โดยไม่ด้อยค่าประสิทธิภาพของวัคซีนโดยรวม ทีมนักวิจัยจากอเมริกา ทำการรวม RBDs ของโคโรนาไวรัส 8 กลุ่ม (mosaic-8) โดยใช้ nanoparticle ที่แต่ละหน่วยย่อยบรรจุได้ถึง 60 RBDs เพื่อกระตุ้นบีเซลล์ของมนุษย์ให้สร้างภูมิคุ้มกันที่หลากหลาย จนสามารถรับมือได้กับศัตรูไม่ว่าหน้าอินทร์หน้าพรหม ขณะนี้มีความคืบหน้าการดำเนินการในสัตว์ทดลองหลายชนิดไปพอควรแล้ว
นอกจากนี้ รศ.นพ.นิธิพัฒน์ ระบุว่า ในทางสากลการประกาศภาวะฉุกเฉิน (state of emergency) ถูกนำมาใช้ในหลายประเทศทั่วโลก เพื่อรับมือโควิด-19 ประกอบด้วยมาตรการ ปิดชายแดน ห้ามจับกลุ่มในที่สาธารณะ งดการพิธีกรรมทางศาสนารวมกัน ปิดเรียน และห้ามออกนอกบ้านเป็นบางเวลา ซึ่งประเทศไทยก็เคยใช้มาครบบ้าง ไม่ครบบ้าง จนปัจจุบันแทบไม่เหลือแล้ว
“แต่ที่ไม่ค่อยพูดถึงกันของที่มาเบื้องหลังซึ่งสำคัญสุดคือ กลไกรัฐ และกระบวนการทางการเมืองปกติไม่สามารถรับมือได้ เพราะประชาชนมีการตอบสนองที่หลากหลายไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมได้ทันภัยร้ายที่คุกคามชีวิตเร่งด่วน อีกทั้งไม่สามารถบูรณาการระบบปฏิบัติงานของหน่วยงานรัฐได้คล่องแคล่ว
ข้อหลังนี้เป็นเพราะบ้านเรามีนักการเมืองฉ้อฉลเข้าไปแทรกแซงข้าราชการประจำมาตลอดเกือบร้อยปี ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 หวังว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าและครั้งต่อๆ ไป จะช่วยให้การเมืองไทยพัฒนาขึ้น หมดหวังแล้วกับนักการเมืองหน้าเดิมๆ ของทุกค่ายในปัจจุบัน ที่โลดแล่น แลบลิ้น ปลิ้นตาหลอกลวงเอาผลประโยชน์ชาติเข้าพกเข้าห่อตัวเองไปวันๆ
สำหรับผมแล้ว การคงพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ไว้หรือไม่ ไม่ได้สลักสำคัญอะไรนัก ที่ผ่านมา พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่ได้จำกัดสิทธิทางการเมืองใคร เพราะยังมีการประท้วงทางการเมืองและเรื่องปากท้องให้เห็นอยู่ประปราย พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เขาตัดสินใจเข้ามา เพราะประเทศมีระบบบริหารจัดการโควิด-19 ที่น่าเชื่อถือ ที่เป็นผลทางอ้อมจากพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เสียมากกว่า
การต่อสู้ทางการเมืองระหว่างฝ่ายกุมอำนาจรัฐ และฝ่ายยื้ออำนาจรัฐ ก็ไม่เห็นถูกจำกัดเพราะพ.ร.ก.ฉุกเฉิน แถมมีการผสมพันธุ์ความโลภ แลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันเกลื่อนกล่น สรุปความแล้ว พ.ร.ก.ฉุกเฉิน สำหรับผมมีดี 2 ประการ 1.ทำให้หน่วยราชการทำงานร่วมกันได้ราบรื่นขึ้นแทนการแย่งกันเป็นใหญ่ 2.ปกป้องข้าราชการที่ตั้งใจทำงานเพื่อประชาชนจากการแทรกแซงของนักการเมือง คงพอตอบกันในใจได้แล้วว่า เราควรคง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อบริหารสถานการณ์โควิด-19 ให้มีประสิทธิภาพไปอีกนานแค่ไหนดี” รศ.นพ.นิธิพัฒน์ ระบุ