ทนายรณณรงค์ เผย คดีน้องชมพู่ใช้พยานแวดล้อมเป็นหลัก ประกอบกับคำแถลงของศาล งานนี้อาจมีพลิกในศาลอุทธรณ์
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า รณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายดัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ให้ความรู้ด้านกฎหมาย โดยระบุว่า
โดยขณะที่มีการสอบสวนเรื่องนี้ จำเลยที่ 1 พยายามไปพูดคุยกับนาย ว. ให้ นาย ว. บอกเจ้าพนักงานตำรวจว่า นาย ว. พบจำเลยที่ 1 ในช่วงเวลา 07.00 น. ไม่ใช่ช่วงเวลา ที่เกิดเหตุ เพื่อไม่ให้เจ้าพนักงานตำรวจสงสัยจำเลยที่ 1
จึงเป็นข้อพิรุธว่า หากจำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำความผิด เหตุใดต้องพูดจาในลักษณะดังกล่าวกับพยาน ที่ให้การต่อเจ้าพนักงานตำรวจตามข้อเท็จจริงที่ตนรู้เห็น
นอกจากนี้ มีชาวเน็ตเข้ามาสอบถามทนายรณณรงค์ ถึงคำพิพากษา โดยระบุว่า รบกวนอธิบาย ย่อหน้าสุดท้ายของคำแถลงศาล ให้หน่อยครับ ตรงความเห็นแย้ง แล้วนำเข้าไปในสำนวนด้วย และทางทนายรณณรงค์ เข้ามาตอบว่า ก็คือเค้าไม่เห็นด้วยที่จะลงโทษลุงพลนั่นแหละคำอธิบายคดีนี้อาจจะพลิกในศาลอุทธรณ์
ต่อมา ทนายรณณรงค์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กอีกว่า อย่าว่างั้นงี้เลยนะอะไรคือหลักฐานสำคัญในคดีนี้ มันยังดูมีข้อสงสัยอยู่ #ลุงพล คดีนีัใช้พยานแวดล้อมเป็นหลัก น่าสนใจว่าศาลสูงจะพลิกอีกหรือเปล่า
โดยวานนี้ (20 ธ.ค.66) ศาลจังหวัดมุกดาหารอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ 1013/2564 คดีน้องชมพู่ โดยศาลพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 นายไชย์พล วิภา (ลุงพล) มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291,317 วรรคแรก ฐานกระทำ โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 10 ปี และฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปีไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันสมควร จำคุก 10 ปี ส่วนข้อหาอื่นให้ยก และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 คือ นางสาวสมพร หลาบโพธิ์ (ป้าแต๋น) และให้นายไชย์พล ชำระค่าสินไหมทดแทนทางแพ่งให้แก่โจทก์ร่วมทั้งสอง
เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS