Connect with us

News

คนทำ IF มีโอกาสตายเพิ่มขึ้น?? หมอปริญญ์ เตือน งานวิจัยยังขาดความน่าเชื่อถือ อย่าเพิ่งไปให้สาระ!

Published

on

หมอปริญญ์ ชี้จุด งานวิจัย IF ยังขาดความน่าเชื่อถือ หลังโซเชียลแห่แชร์ คนทำ IF เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด 91%

ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า อ.นพ.ปริญญ์ วาทีสาธกกิจ สาขาวิชาโรคหัวใจ ภาควิชาอายุรศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กให้ความรู้กรณี โซเชียลแห่แชร์รายงานผลวิจัย ที่กล่าวว่า การทำ IF เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด 91% โดยอ.นพ.ปริญญ์ ระบุว่า

เรื่องของการทำ IF แล้วเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด 91% ที่มีการแชร์กันมากๆในช่วงเช้าวันนี้ ที่จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น
1.เป็นการศึกษาแบบเฝ้าสังเกตติดตามไปข้างหน้า โดยใช้ข้อมูลจากแบบสอบถามที่เก็บไว้ระหว่างปี 2003 ถึง 2018 และใช้การเกิดโรคจนถึงปี 2019
2.แบบสอบถาม ไม่ได้ถามว่าคุณทำ IF หรือไม่ แต่ใช้ข้อมูลช่วงเวลาการกิน แล้วนำมาคำนวนกลับว่า eating duration ตกอยู่ในช่วงเวลากี่ชั่วโมง (อาจไม่ใช่การตั้งใจทำ IF)

3.กลุ่มประชากรที่มีข้อมูลให้วิเคราะห์ได้มีจำนวน 20,078 คน ในขณะที่กลุ่มที่กินข้าวในระยะเวลาน้อยกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน มี 414 คน (คิดเป็น 2% ของประชากรทั้งหมด) ทางสถิติถือว่ามีจำนวนน้อยมาก และมีโอกาสสูงที่จะเห็นผล false positive with highly exaggerate result
4.event ที่เกิดขึ้นมีไม่เยอะ แต่มีการใช้ตัวแปรในการทำ mutivariable model (adjusting confounders) มากกว่า 14 ชนิด โดยที่ไม่มีการใช้ตัวแปรที่สำคัญคือ blood pressure, diabetes และ cholesterol level ซึ่งเป็น main conventional risk factors ที่ต้องมี (ไม่แน่ใจว่า self-reported health condition status จะ cover แค่ไหน) ตัวแปรที่มากเกินไปอาจเกิดปัญหา over-fitted ส่วนการขาด confounding factors ที่สำคัญก็เป็นปัญหารู้ๆกันอยู่

5.ตัวแปรที่ใช้เป็น adjusting confounders มีหลายตัวที่อาจทำให้เกิดความเพี้ยนของผลการศึกษาได้ ภาษาสถิติคือเกิด collinearity ภาษาแปลบ้านๆคือตัวแปรที่มีความคล้ายกันมากหรือคือตัวแปรเดียวกันนั่นล่ะ ไม่ควรใส่มาด้วยกัน เช่น education x income, food security status x diet quality score, BMI x BMI squared
6.ข้อจำกัดของงานวิจัยแบบสังเกตคือเราไม่รู้ว่าระหว่างทางจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นบ้าง ทั้งนิสัยการกิน หรือปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ข้อจำกัดนี้สำหรับนักวิจัยถือว่ารับได้ แต่การ F/U ที่นานกว่า 10 ปี ถ้าทำได้ควรมีการใช้ time-dependent covariate adjustment เข้ามาช่วย

7.งานวิจัยใช้ time-restricted eating อันนี้น่าสนใจมากกว่า trend ความคิดเรื่องการทำ IF มีมาตั้งแต่ปี 2003 ที่อเมริกา ถึงขนาดมีแบบสอบถามมาตั้งแต่ตอนนั้น surprise พอสมควร แต่ก็เคยเจอแบบสอบถามเรื่องกินเค็มมาตั้งแต่ปี 1975 เช่นเดียวกัน
8.สิ่งที่น่าสนใจที่ผมเห็นคืออย่างน้อยมันมี trend line ที่เป็น dose response อยู่บ้าง สิ่งที่ทำให้ไม่น่าสนใจคือที่กล่าวมาทั้งหมด อาจเป็น false positive ได้อยู่ นักวิจัยสรุปได้ถูกว่าต้องการงานวิจัยอื่นมายืนยัน (require replication)

9.วันนี้มีรุ่นน้องหมอนักวิจัยไฟแรง กำลังเข้าไปดูแบบสอบถามของ EGAT study ว่าข้อมูลของเราจะนำมาใช้ได้หรือไม่ ถ้าทำได้ น่าจะช่วยตอบข้อสงสัยตรงนี้กันได้ครับ
10.declaration of interest: none
……..
Edit เพิ่มเติม
สรุปแล้ว งานวิจัยชิ้นนี้ยังมีปัญหาความน่าเชื่อถืออยู่เยอะ เป็นแค่ poster ไม่ผ่าน peer review อย่าเพิ่งไปให้สาระกับมันครับ ขอบคุณครับ

เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS

Continue Reading
Advertisement ad-02-doosoft.jpg
Advertisement QK6ZtN.png

Copyright © 2022 TOJO.NEWS

%d bloggers like this: