ฟูอาดี้ ชี้ปมเจ้าหน้าที่ไทยปะทะเขมร แนะ เปิดให้ทีมสังเกตการณ์อาเซียนเข้าพื้นที่ ก่อนจะโดนตั้งคำถามถึงความร่วมมือในระดับนานาชาติ
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า นายฟูอาดี้ พิศสุวรรณ อดีตทีมที่ปรึกษาด้านการต่างประเทศ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
เห็นคลิปเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนปะทะกับผู้ประท้วงชาวกัมพูชาใน Straits Times แล้ว แทบแยกไม่ออกว่าใครเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ใครยั่วยุใคร หรือฝ่ายใดผิดอย่างไร ไม่ว่าเราจะมั่นใจในมุมมองของตัวเองมากเพียงใด ความจริงก็คือสื่อสากลที่มีมาตรฐานวิชาชีพย่อมนำเสนอภาพและมุมมองจากทั้งสองฝ่าย ข้อดีเพียงอย่างเดียวของเหตุการณ์ครั้งนี้คือไม่มีการใช้อาวุธหนัก สะท้อนว่าความรู้สึกของประชาชนยังคงร้อนแรง แต่ยังไม่บานปลายไปสู่การปะทะทางทหาร (คลิปใน ST: https://www.instagram.com/reel/DOu2t0uDH8f/…)
สิ่งที่น่ากังวลคือ หากไทยไม่เปิดโอกาสให้ทีมผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observers Team: AOT) เข้ามาประจำพื้นที่เสี่ยงอย่างน้อยก็สัก 3 เดือน โดยกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจน ใช้เฉพาะผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียน และอาจห้ามการพกพาอาวุธสังหาร ก็ยากที่จะพิสูจน์ได้ว่าใครเป็นฝ่ายละเมิด หรือเหตุใดเราจึงปิดกั้นโอกาสในการลดการเผชิญหน้าและการปะทะตามแนวชายแดน
เราต้องยอมรับความจริงว่า “กลไกทวิภาคี” เพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งหมด ไม่ใช่ว่าไม่สำคัญ แต่เราจำเป็นต้องมี “ความกล้าหาญ” ในการใช้กลไกภูมิภาค (และกลไกระดับโลก) ควบคู่กันไป หากเราเลือกที่จะก้าวข้ามกรอบ “ทวิภาคี” มาอย่างมั่นใจ เราจะเป็นฝ่ายควบคุมสถานการณ์ มากกว่าถูกสถานการณ์ลากไป
เกรงว่าหากไทยยังคงปฏิเสธ กลับจะยิ่งถูกมองว่าไม่ให้ความร่วมมือกับกลไกในระดับภูมิภาคและนานาชาติที่มีเป้าหมายเพื่อลดความขัดแย้ง ซึ่งจะบั่นทอนความชอบธรรมของเราในเวทีโลก นักคิดและชนชั้นนำทางการต่างประเทศในมาเลเซีย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ก็เริ่มตั้งคำถามต่อท่าทีของไทยแล้ว การกระทำเช่นนี้เท่ากับลดทอน จนไปถึงทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของ ASEAN ทั้งที่เราเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง ตรงกันข้าม สิ่งที่เราควรทำคือการแสดงออกถึงการโอบรับกลไกภูมิภาคอย่างมีชั้นเชิง เพื่อยืนยันบทบาทความเป็นผู้นำที่แท้จริงของไทยในอาเซียน
ปล.มีบทความวิจารณ์ท่าทีของไทยต่อระบอบสากลในเรื่องนี้ใน Nikkei Asia: https://asia.nikkei.com/…/landmines-highlight-thai…
#เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS